วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556

พัฒนาและส่งเสริม

การพัฒนาและส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ 


              บางคนเชื่อว่า ความคิดสร้างสรรค์นั้นเป็นพรสวรรค์ที่ติดตัวคนบางคนมาตั้งแต่เกิด แต่พอมาถึงปัจจุบัน ความคิดนั้นได้แปรเปบี่ยนไป ยุคแห่งวิทยาการทำให้ความเชื่อดั้งเดิมที่เคยมีมาปรับเปลี่ยนไป

              นักจิตวิทยาส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันว่าความคิดสร้างสรรค์นั้นเป็นความสามารถที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคนตั้งแต่เกิด เพียงแต่มีการแสดงออกหรือมีพัฒนาการมากน้อยต่างกันไป และยังสามารถพัฒนาเพิ่มให้มีมากขึ้นด้วยการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ



              การส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์นั้นอาจทำได้ทั้งทางตรงโดยการสอนและฝึกอบรม และทางอ้อมก็สามารถทำได้ด้วยการจัดบรรยากาศสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมความเป็นอิสระในการเรียนรู้อย่างเช่น

·      การส่งเสริมให้ใช้จิตนาการตนเอง
·      ส่งเสริมและกระตุ้นการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
·      ยอมรับความสามารถและคุณค่าของคนอย่างไม่มีเงื่อนไข
·      แสดงให้เห็นว่าความคิดของทุกคนมีคุณค่า และนำไปใช้ประโยชน์ได้
·      ให้ความเข้าใจ เห็นใจและความรู้สึกของคนอื่น
·      อย่าพยายามกำหนดให้ทุกคนคิดเหมือนกัน ทำเหมือนกัน
·      ควรสนับสนุนผู้คิดค้นผลงานแปลกใหม่ได้มีโอกาสนำเสนอ
·      เอาใจใส่ความคิดแปลกๆขbองคนด้วยใจเป็นกลาง
·      ระลึกเสมอว่าการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ต้องค่อยเป็นค่อยไปและใช้เวลา

วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

ตัวขัดขวางความคิด

อุปสรรคของความคิด


การที่คนเราจะเกิดความคิดสร้างสรรค์ได้นั่น บางทีก็ต้องเจอกับอุปสรรคระหว่างการคิด ในที่นี้เราจะพูดถึงอุปสรรคของความคิดสร้างสรรค์กันค่ะ

อุปสรรคของความคิดสร้างสรรค์นั้น สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
อุปสรรคจากภายนอกและอุปสรรคจากภายใน

อุปสรรคภายนอก หมายถึง ข้อจำกัดต่างๆ ที่เกิดจากอิทธิพลภายนอก เช่น เกิดจากขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมและกฏเกณฑ์ของสังคมหรือสภาพแวดล้อมภายนอก กฎระเบียบต่างๆ ขององค์กร ของสังคม เป็นต้น

ส่วนอุปสรรคภายใน หมายถึง นิสัยใจคอ อุปนิสัยส่วนตัว ความพึงพอใจ ท่าทีและทัศนคติของคนแต่ละคน ในสถานการณ์ต่างๆ กัน

อุปสรรคภายนอกของความคิดสร้างสรรค์ เกิดขึ้นในลักษณะเช่น
เด็กๆ ไม่กล้ายกมือซักถามครูเมื่อเกิดความสงสัยในบทเรียน
เกิดจากวัฒนธรรมของสังคมที่ไม่เปิดโอกาสให้เด็กได้ซักถามผู้ใหญ่มากนักเพราะจะกลายเป็นว่าไม่มีสัมมาคารวะ
จึงไม่กล้าถามตามความอยากรู้อยากเห็น หรือ

ธรรมเนียมของการชอบคิดตามอย่างกัน ซึ่งถ้าหากมีใครคิดต่าง/คิดแปลกจากคนอื่นก็จะไม่เป็นที่ยอมรับของกลุ่ม หรือ

ธรรมเนียมที่เน้นบทบาทความแตกต่างระหว่างเพศอย่างชัดเจน
ในเรื่องหน้าที่ของหญิงและชาย
ที่ระบุว่าผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง
ที่มีหน้าที่เดินตามเท้าหน้าเท่านั้น หรือ

วัฒนธรรมสังคมให้ค่านิยมกับความสำเร็จและไม่ยอมรับความล้มเหลว
ทำให้คนไม่กล้าทดลองทำสิ่งใหม่ๆ  หรือ

การเน้นระเบียบ และกฎเกณฑ์มากเกินไป
ถ้าเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยก็ถือเป็นความผิด
ทำให้ขาดความยืดหยุ่น ไม่กล้าแสดงความคิดสร้างสรรค์ออกมา

อุปสรรคภายในที่เกิดขึ้นจากตัวเราเอง เช่น
ความกลัวที่จะถูกตำหนิติเตียนและหาว่าแปลก
ความเคยชินกับการคิดแบบเดิมที่เคยทำอยู่เป็นประจำ
การมีอคติหรือมีทัศนะที่คับแคบว่าคำตอบที่ถูกต้องมีเพียงคำตอบเดียว ความเฉื่อยชาและอืดอาดในการเริ่มคิดเริ่มทำ
ทำให้ขาดแรงกระตุ้นที่จะทำสิ่งใหม่ๆ

ดังนั้นถ้าเราต้องการเปิดให้สมองสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้เกิดมากขึ้น
ก็ต้องพยายามขจัดอุปสรรคทั้งภายนอกและภายในทิ้งไปให้ได้มากที่สุดนะ

วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

คิดสร้างสรรค์ช่วยได้

คิดสร้างสรรค์ช่วยเราได้

เราได้เรียนรู้ถึงลักษณะและกระบวนการของการคิด
ที่จะนำไปสู่การคิดสร้างสรรค์มาแล้ว
บทความนี้ จึงขอเสนอให้ทราบถึงประโยชน์ของความคิดสร้างสรรค์บ้าง
ดังนี้ค่ะ

1. ความคิดสร้างสรรค์ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง
ทำให้เกิดแนวทางหรือแนวปฏิบัติใหม่ๆ
ที่นำไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน
เกิดหนทางใหม่ๆ ในการแก้ปัญหาที่อาจพบเจอในชีวิตและการทำงานของคนเรา
2. ความคิดสร้างสรรค์ช่วยให้เกิดความสนุก
ตามธรรมดาของมนุษย์มักไม่ต้องการทำอะไรที่ซ้าซาก จำเจบ่อยๆ
เพราะจะให้เกิดความรู้สึกเบื่อ
เป็นธรรมดาของมนุษย์เราที่ต้องค้นหาวิธีการคิดใหม่ๆ
ขึ้นมาทดแทนความคิดเก่าๆ
สำหรับโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
การที่มนุษย์ต้องคิดอะไรใหม่ๆ อยู่เสมอ
ย่อมเป็นเรื่องสนุกเพราะทำให้ชีวิตไม่จำเจ
เพิ่มสีสันให้แต่ละวันมีชีวิตชีวาขึ้น

3. ช่วยพัฒนาสมองของคนให้มีความฉลาดเฉียบคม
การฝึกคิดหรือพยายามคิดเรื่องอะไรก็ตาม
ที่เป็นเรื่องแปลกๆ ใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอ
จะช่วยส่งเสริมคนเราให้มีความเฉียบแหลม
ในการคิดแก้ปัญหาต่างๆ เพิ่มขึ้น

4. การคิดสร้างสรรค์ช่วยสร้างความเชื่อมั่น ความมั่นใจ พึงพอใจ ในตัวเองขึ้นมา
เมื่อใดก็ตามที่เราพัฒนาความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ให้มีมากขึ้นๆ
จนทำให้เรากล้าที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาหรือสิ่งใหม่ๆ
สามารถพบวิธีในการเผชิญก้บความเปลีายนแปลงต่างๆ ได้อย่างราบรื่น ง่ายดาย
ก็จะทำให้เรากลายเป็นผู้นำทางด้านความคิด และเกิดความภูมิใจในตนเอง

นอกจากนี้ ความคิดสร้างสรรค์ยังช่วยยกระดับความสามารถ ความอดทนและความคิดริเริ่มของเราให้มีเพิ่มมากขึ้น

เป็นการพัฒนาความสนใจในงาน พัฒนาการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์และพัฒนาชีวิตให้ทันสมัย มีความสุขมากขึ้น

เห็นกันแล้วนะ การคิดสร้างสรรค์ ช่วยเราให้มีชีวิตที่ดีขึ้นได้

วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

กระบวนการความคิด

กระบวนการความคิด


           ความคิดสร้างสรรค์เป็นลักษณะความคิดแบบการคิดหลายๆ แง่         หลายๆทาง คิดให้มากที่สุดเท่าที่จะนึกได้
เป็นการมองปัญหาในแนวกว้างเหมือนกับแสงอาทิตย์ที่แผ่รัศมีออกรอบด้าน  
คนที่มีความคิดสร้างสรรค์นั้นจะเป็นคนที่มี


   1. ความคิดริเริ่ม คือมีความคิดที่แปลกใหม่ต่างจากความคิดธรรมดา

   2. มีความคิดยืดหยุ่น คือมีความสามารถในการคิดคำตอบได้หลายแง่หลายมุม

   3. มีความคิดคล่องแคล่ว คือสามารถคิดหาคำตอบได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว รวดเร็ว และได้คำตอบมากที่สุดในเวลาที่จำกัด

   4. มีความคิดละเอียดลออ คือการคิดได้ในรายละเอียดเพื่อขยายหรือตกแต่งความคิดหลักให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
กระบวนการของความคิดสร้างสรรค์เกิดจากการคิดสิ่งใหม่ๆ โดยการลองผิด   ลองถูก ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือ

1. ขั้นเตรียมการ คือการข้อมูลหรือระบุปัญหา
2. ขั้นความคิดกำลังฟักตัว คือการอยู่ในความสับสนวุ่นวายของข้อมูลที่ได้มา
3. ขั้นความคิดกระจ่างชัด คือขั้นที่ความคิดสับสนได้รับการเรียบเรียงและเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ทำให้เห็นภาพรวมของความคิด
4. ขั้นทดสอบความคิดและพิสูจน์ให้เห็นจริง คือขั้นที่รับความคิดเห็นจากสามขั้นแรกข้างต้นมาพิสูจน์ว่าจริงหรือถูกต้องหรือไม่

Hutchinson มีความคิดว่า ความคิดสร้างสรรค์นั้นเป็นกระบวนการเชื่อมโยงความรู้ที่มีอยู่เข้าด้วยกัน อันจะนำไปสู่การแก้ปัญหาใหม่ที่คิดใช้เวลาการคิดเพียงสั้นๆอย่างรวดเร็วหรือยาวนานก็อาจเป็นไปได้ โดยมีลำดับการคิดดังนี้

1. ขั้นเตรียมเป็นการรวบรวมประสบการณ์ มีการลองผิดลองถูกและตั้งสมมุติฐานเพื่อแก้ปัญหา
2. ขั้นครุ่นคิดขัดข้องใจ เป็นระยะที่มีอารมณ์เครียด อันสืบเนื่องจากการครุ่นคิด แต่ยังคิดไม่ออก
3. ขั้นของการเกิดความคิด เป็นระยะที่เกิดความคิดในสมอง เป็นการมองเห็นวิธีแก้ปัญหาหรือพบคำตอบ
4. ขั้นพิสูจน์ เป็นระยะการตรวจสอบประเมินผลโดยใช้เกณฑ์ต่างๆเพื่อดูคำตอบที่คิดออกมานั้นเป็นจริงหรือไม่


Roger von Oech แยกความคิดออกเป็น 2 ประเภทคือความคิดอ่อนและ
ความคิดแข็ง

ความคิดแข็งนั้นจะมีคำตอบที่ถูกหรือผิดอย่างแน่นอน
แต่ความคิดอ่อนนั้นอาจมีคำตอบที่ถูกหลายอย่าง

ซึ่งฟอนโอชได้กล่าวถึงกระบวนการคิดสร้างสรรค์ไว้ว่าประกอบด้วย 2 ขั้นตอนคือ 1. กระบวนการเพาะตัว เป็นการสร้างความคิดใหม่
2. กระบวนการปฏิบัติการ เป็นการใช้ความคิดที่คิดขึ้นมาไปปฏิบัติงานจริง  
ความคิดอย่างอ่อนเป็นสิ่งที่เหมาะสมสำหรับกระบวนการเพาะตัว เป็นการมองที่กว้างๆ เพื่อหาวิธีการต่างๆ
ส่วนความคิดอย่างแข็งนั้นมักใช้ในช่วงการปฏิบัติงานจริงๆ เมื่อต้องการประเมินความคิดและขจัดสิ่งต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงในการแก้ปัญหาออกไป
ตรวจดูผลดีผลเสียและความเสี่ยงรวมทั้งการเตรียมที่จะเปลี่ยนความคิดให้เป็นการกระทำด้วย                        
 

วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556

ลักษณะความคิดสร้างสรรค์

ลักษณะความคิดสร้างสรรค์


           ความคิดสร้างสรรค์ คือ กระบวนการคิดของสมองซึ่งมีความสามารถในการคิดได้หลากหลายและแปลกใหม่จากเดิม จนนำไปสู่การคิดค้นและสร้างสิ่งประดิษฐ์ที่แปลกใหม่หรือรูปแบบความคิดใหม่

อย่างไรก็ตาม ลักษณะการคิดสร้างสรรค์ต่างๆ บุคคลสามารถเชื่อมโยงนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้

ซึ่งความคิดสร้างสรรค์ ควรจะประกอบไปด้วย 3 ประการ คือ


        1. สิ่งใหม่ (new, original) เป็นการคิดที่แหวกวงล้อมความคิดที่มีอยู่เดิม ที่ไม่เคยมีใครคิดได้มาก่อน ไม่ได้ลอกเลียนแบบใคร แม้กระทั่งความคิดเดิมๆ ของตนเอง
        2.ใช้การได้ (workable) เป็นความคิดที่เกิดจากการสร้างสรรค์ที่ลึกซึ้ง และสูงเกินกว่าการใช้เพียง "จินตนาการเพ้อฝัน" คือ สามารถนำมาพัฒนาให้เป็นจริง และใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม และสามารถตอบสนองวัตถุประสงค์ ของการคิดได้เป็นอย่างดี
        3. มีความเหมาะสม เป็นความคิดที่สะท้อนความมีเหตุมีผล ที่เหมาะสม และมีคุณค่า ภายใต้มาตรฐานที่ยอมรับกันโดยทั่วไป

            ความคิดสร้างสรรค์ขึ้นอยู่กับศักยภาพในการทำงานและการพัฒนาของสมอง สมองคนเรามี 2 ซีก ทำหน้าที่แตกต่างกัน ดังนี้

สมองซีกซ้าย ทำหน้าที่ในส่วนของการตัดสินใจ การใช้เหตุผล
สมองซีกขวา ทำหน้าที่ในส่วนของการสร้างสรรค์



             แม้สมองจะทำงานต่างกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว สมองทั้งสองซีกจะทำงานเชื่อมโยงไปพร้อมกันในแทบทุกกิจกรรม โดยการคิดสลับกัน

เช่น การอ่านหนังสือ
สมองซีกซ้ายจะทำความเข้าใจ โครงสร้างประโยคและไวยากรณ์ ขณะเดียวกัน สมองซีกขวาก็จะทำความเข้าใจ เกี่ยวกับลีลาการดำเนินเรื่อง
อารมณ์ที่ซ่อนอยู่ในข้อเขียน

ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องพัฒนาสมองทั้งสองซีกไปพร้อมๆ กัน ไม่สามารถแยกพัฒนาในแต่ละด้านได้

              ในการพัฒนาสมองให้ใช้ได้อย่างเต็มศักยภาพ จึงควรจัดให้มีการเรียนรู้ อย่างสมดุล ให้สมองทั้งสองซีกได้รับการพัฒนาไปพร้อมๆ กันและต่อเนื่อง
เพื่อให้เกิดความสมดุลในการคิด จะทำให้คิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ติดอยู่ในกรอบของความคิดแบบเดิมๆ ไม่จมอยู่กับหลักการเดิมๆ และไม่คิดด้วยการใช้จินตนาการเพ้อฝันมากเกินไปจนไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างความฝันกับความสมเหตุสมผล

               ฉะนั้น จะเห็นได้ว่า การคิดสร้างสรรค์ ต้องพึ่งพาทั้งสมองซีกซ้าย
และสมองซีกขวาควบคู่กันไป

วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556

พัฒนาความคิดสร้างสรรค์

มาพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของเรากันเถอะ



การจะมีความคิดสร้างสรรค์
ควรเริ่มจากการมีทัศนคติเชิงบวกก่อน
ทัศนคติเชิงบวกจะทำให้เรามองเห็นส่วนดีๆ ของปัญหาหรือเหตุการณ์ทั้งหลาย แล้วสามารถทำให้เราเกิดกำลังใจที่จะนำทัศนคติในเชิงบวกนั้นมาพัฒนาต่อยอดเป็นความคิดดีๆ ความคิดสร้างสรรค์ต่อไป

โดยเราจะต้องเปลี่ยนมุมมอง ดังนี้

1. เราจะต้องเชื่อว่า ปัญหาทุกอย่างสามารถแก้ไขได้        
เราต้องรู้สามารถรับรู้ได้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นทุกอย่างล้วนแก้ไขได้ไม่ด้วยวิธีใดก็วิธีหนึ่ง เพียงแต่อาจจะต้องใช้เวลา แรงกายแรงใจทุ่มเทลงไป และต้องจัดลำดับความสำคัญความจำเป็นก่อนหลังให้ถูกต้องเหมาะสมกับสถานการณ์

2. กล้ายอมรับการตัดสินใจภายในทีมของเรา        
บุคคลที่จะพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ในการทำงานได้นั้น ต้องเป็นบุคคลที่สามารถยอมรับความคิดเห็นและการตัดสินใจของผู้อื่น รวมทั้งสามารถยอมรับการวิจารณ์จากเพื่อนร่วมทีมได้ แม้ว่าความคิดของตนเองจะเป็นสิ่งที่แปลกใหม่ก็ตาม

3. ฝึกตนเองให้เป็นคนช่างสงสัย        
เมื่อสงสัย ก็เกิดการตั้งคำถาม  นำไปสู่การหาคำตอบ เช่น อยากรู้ว่าปัญหาเกิดจากอะไร วิธีแก้ปัญหาต้องทำอย่างไร ความจริงคืออะไร ทำไมถึงต้องเป็นเช่นนั้น ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงไม่ลองวิธีนี้ แค่นี้ก็สามารถพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ได้แล้ว

4.ชอบความท้าทาย        
ความท้าทาย การชอบที่จะเอาชนะอุปสรรคต่างๆ เพราะคิดว่าอุปสรรคเหล่านี้เป็นสิ่งที่ท้าทาย ต้องพยายามหาทางเอาชนะให้ได้ จะทำให้เราสร้างวิธีคิด หรือ สร้างสรรค์แนวทางใหม่ๆ ขึ้นมา

แนวความคิดที่นำเสนอหลายครั้งอาจแปลกประหลาด อาจถูกหัวเราะจากคนอื่น แต่หลายความคิดแปลกประหลาดนั้น อาจนำไปสู่ความคิดสร้างสรรค์ดีๆ ที่ได้รับการยอมรับและนำไปปฏิบัติได้จริง หลายครั้งที่ความคิดใหม่ๆ สามารถนำมาแก้ไขปัญหาต่างๆ และนำไปสู่ความสำเร็จได้

วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2556

จุดประกายความคิดสร้างสรรค์

จุดประกายความคิดสร้างสรรค์



ความคิดสร้างสรรค์ของเรามักจะมีมากในช่วงวัยเด็ก ความสนุกสนาน จินตนาการอันบรรเจิด ที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาแทบจะตลอดเวลาที่เล่นหรือเรียน
แต่เมื่อโตขึ้นความสนุกสนานเริ่มจะห่างไกลจากเราไปทุกที หน้าที่การงาน ภาระที่เราต้องรับผิดชอบทั้งต่อตัวเอง ครอบครัว สังคม ที่ถาโถมกันเข้ามาอย่างไม่บอกกล่าวกันมากนัก นึกอยากจะมาก็มา

หลายคนยังจำช่วงเวลาอันแสนวิเศษในวัยเยาว์ได้ดี จุดเริ่มต้นของความคิดสร้างสรรค์และความเชื่อมั่นในตนเอง
ครั้นเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ภาระหน้าที่การงานบางอย่างที่ต้องทำต้องคิดในเรื่องเดิมๆ จนกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน ทำให้ไม่ได้บริหารความคิดจินตนาการสร้างสรรค์ใหม่ๆ แต่เรามีวิธีการที่จะช่วยจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นได้อีกครั้ง
     
1. ดูรูปภาพในมุมกลับ    
หยิบภาพอะไรก็ได้ที่คุณเห็นเป็นประจำ แล้วมองดูในมุมกลับ
ใช้เวลาพิจารณาในมุมมองใหม่ๆ ที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน
สังเกตรายละเอียด รูปร่าง รูปแบบ หรือแนวคิดของภาพ
ซึ่งก่อนหน้านี้ คุณไม่เคยสนใจ
วิธีง่ายๆ เช่นนี้ มันจะช่วยจุดประกายไอเดียใหม่ๆ ได้          

2. คิดแบบเด็ก 6 ขวบ    
เมื่อมีปัญหาหรืออยู่ในสถานการณ์ลำบากที่ยังแก้ไม่ตก ให้จินตนาการว่าคุณเป็นเด็ก 6 ขวบ เพราะความคิดของเด็กเล็กนั้น มองสิ่งที่เห็นอย่างที่มันเป็น
ไม่สลับซับซ้อน                  

3. ลิ้มรสอาหารแปลกใหม่          
เพื่อให้คุณเปิดตัวเองให้กับประสบการณ์ใหม่ๆ ก็จะได้มุมมองใหม่ๆ ขอเพียงหนึ่งวันในแต่ละสัปดาห์ เป็นวันลิ้มรสชาติอาหารแปลกใหม่ เช่น ขนม ผลไม้ หรือ หากชอบทำอาหาร ก็ลองเข้าครัวปรุงเมนูสูตรใหม่ เมื่อได้ลิ้มลองรสชาติแล้ว ผลที่ได้คือ ทำให้ความรู้สึกเบื่อหน่าย ลดน้อยลง          

4. สะกดจิตตัวเอง      
ด้วยการทำตัวเองให้ผ่อนคลาย หลับตาลงและจินตนาการว่า กำลังอยู่ในสถานที่ที่สวยงาม เป็นธรรมชาติ ซึ่งอาจเป็นที่ใดก็ตาม ตามจิตใต้สำนึกคุณจะบงการ              
5. มองภาพคนหรือทิวทัศน์          
จงมองภาพที่มีคนหรือทิวทัศน์อย่างละเอียด และจินตนาการว่า คุณได้ก้าวเข้าไปอยู่ในภาพนั้น และเดินสำรวจไปทั่วๆ จงปล่อยตัวเองให้เดินเที่ยวเล่นภายในภาพอย่างอิสระ          

6. นึกถึงไอดอลในดวงใจ          
นึกถึงใครสักคนที่คุณรักและชื่นชอบ แล้วเขียนสิ่งที่คุณชื่นชมและชื่นชอบอย่างยิ่งในตัวเขา รวมทั้งสิ่งที่อยากเป็นเหมือนเขา ลงบนกระดาษ
จากนั้น จงคิดถึงปัญหาหรือสถานการณ์ที่คุณยังแก้ไขไม่ได้ และถามตัวเองว่า“ถ้าฉันเป็นเขา ฉันควรทำเช่นไร” เพราะด้วยวิธีนี้จะทำให้คุณหลุดจากความคิดในกรอบเดิมๆของตัวเอง และมีความคิดใหม่ๆเข้ามาแทนที่          

7. ทำสมาธิ          
การทำสมาธิเป็นประจำ ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายได้อย่างไม่น่าเชื่อ และยังทำให้สมองทั้งสองข้าง (ด้านที่เกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์และความมีเหตุผล) ทำงานประสานกันได้เป็นอย่างดี                

8. นึกถึงนิทานสมัยเด็กๆ          
คงมีนิทานสักเรื่องที่คุณเคยฟังในวัยเด็กและจำได้ขึ้นใจแม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน คราวนี้ลองเลือกตัวร้ายหรือตัวรองในนิทาน คุณอาจเปลี่ยนเรื่องให้ตัวเอกเป็นผู้ชนะแทน หรือใช้ตัวละครเดิม แต่แต่งเรื่องขึ้นใหม่ทั้งหมด ให้โลดแล่นไปตามจินตนาการของคุณ          

9. ทำสิ่งที่ชอบ          
ให้คุณใช้เวลาสัปดาห์ละ 2-3 ชั่วโมง หันมาทำในสิ่งที่คุณชื่นชอบ เพราะการได้หวนกลับมาทำกิจกรรมที่เคยชอบอีกครั้งหนึ่ง ในวันเวลาที่ผ่านไป จะช่วยให้เกิดไอเดียใหม่ๆ ดังคำกล่าวที่ว่า “เวลาเปลี่ยน ความคิดเปลี่ยน”          

10. อยู่เงียบๆ          
ความเงียบมีพลังอย่างล้ำลึก ที่ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างแท้จริง เพียงแค่เราหาเวลาอยู่กับตัวเอง โดยปราศจากเครื่องมือสื่อสาร
หรือสิ่งเร้าทุกรูปแบบ อยู่กับความคิดตัวเองอย่างสงบ แล้วจดบันทึกความคิดสำคัญต่างๆ ที่ผุดขึ้นในช่วงเวลานั้นไว้ จากนั้นลองเอามาสร้างเป็นไอเดียที่สร้างสรรค์ต่อไป

วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2556

ความคิดสร้างสรรค์ : creative thinking


ความคิดสร้างสรรค์ (Creative thinking) 

          

เป็นสิ่งที่หลายคนอยากจะมีให้บรรเจิด
ซึ่งถือเป็นกระบวนการทางสมองที่ทำให้เกิดความคิดใหม่ๆ เป็นความสามารถของสมองในการเห็นความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ รอบตัว เกิดการเรียนรู้และเข้าใจ
จนเกิดเป็นปฏิกิริยาตอบสนองให้เกิดความคิดเชิงจินตนาการ นำไปสู่การคิดค้นสิ่งใหม่ๆ ตอบสนองความต้องการหรือเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น

ความคิดสร้างสรรค์ แบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ คือ        

ความคิดสร้างสรรค์ระดับต้น เป็นความคิดที่มีอิสระ แปลกใหม่ ยังไม่คำนึงถึงคุณภาพและการนำไปประยุกต์ใช้        

ความคิดสร้างสรรค์ระดับกลาง เป็นความคิดที่เริ่มคำนึงถึงผลผลิตทางคุณภาพ และสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้        

ความคิดสร้างสรรค์ระดับสูง เป็นความคิดที่เกิดจากการสรุปสิ่งที่ค้นพบเป็นรูปธรรมนำไปใช้ในการสร้างหลักการ ทฤษฎีที่เป็นสากล เพื่อนำไปสู่การประกอบอาชีพที่หลากหลาย

ความคิดสร้างสรรค์มีประโยชน์ ดังนี้
1. ช่วยแก้ปัญหา        
        ปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและมีวามสลับซับซ้อนมากขึ้น
การแก้ปัญหาด้วยวิธีการเดิมๆ มักใช้ไม่ได้ผล
จึงอาศัยความคิดริเริ่มสร้างสรรค์มาช่วยแก้ปัญหาเดิม ด้วยวิธีการใหม่
ทำในสิ่งใหม่ให้ได้สิ่งที่ดีกว่า เพราะในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นรูปแบบตายตัว
จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบปลีกย่อยที่แตกต่างกันเข้าด้วยกันเสมอไป
จึงไม่มีสูตรสำเร็จในการแก้ปัญหา ต้องเรียนรู้วิธีการที่ยืดหยุ่น
เพื่อสามารถปรับตัวเข้ากับบริบทที่แตกต่างกัน
การเรียนรู้วิธีคิดสร้างสรรค์จะสามารถช่วยให้เราคิดได้อย่างเหมาะสม

2. ก่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่        
        เพื่อตอบสนองความต้องการของคนในยุคปัจจุบัน จึงต้องมีการเสริมความคิดสร้างสรรค์ ให้เหมาะกับวิถีการดำเนินชีวิตที่เร่งรีบ
ซึ่งหากไม่มีการพัฒนาเท่ากับเป็นการเดินถอยหลังไปเรื่อยๆ
เพราะเมื่อมีสินค้าที่ดีกว่า ใหม่กว่า น่าสนใจกว่า ย่อมดึงดูดใจผู้บริโภคได้มากกว่า บุคคลที่สามารถพัฒนาความคิดสร้างสรรค์เพื่อสร้างนวัตกรรมได้นั้น
มักเป็นบุคคลที่ “ไม่พึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมี” ซึ่งความไม่พึงพอใจนี่เองที่ทำให้คิดค้นและพัฒนาสิ่งต่างๆ ได้

3. ได้สิ่งใหม่ที่ดีกว่าสิ่งเดิม ๆ        
        ในปัจจุบันแทบทุกอาชีพต้องพึ่งพาคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ เพราะทุกองค์กรต่างต้องพัฒนาตนเองเพื่อก้าวสู่อนาคต การคิดสร้างสรรค์จะทำให้เป็นผู้นำเทรนด์ และเกิดสิ่งใหม่ที่แตกต่างและนำทางไปสู่การพัฒนาตลอด

วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556

อาหารสมอง

สมอง เริ่มต้นที่ อาหาร 


          


สมองของทุกคนต้องการสารอาหารอย่างครบถ้วนและเพียงพอ
เพื่อให้เกิดการทำงานที่มีประสิทธิภาพ จดจำข้อมูลต่างๆได้

ในวัยเด็กหากได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ
นอกจากจะทำให้ร่างกายไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควรแล้ว จะทำให้เด็กขาดสมาธิและเลี้ยงยาก
ต่อมาในระยะยาวจะทำให้พัฒนาการทางด้านสติปัญญาช้ากว่าเด็กปกติ หรืออาจปัญญาอ่อนได้
ขึ้นกับความรุนแรงของการขาดสารอาหาร

ดังนั้นควรให้อาหารสมองโดยรับประทานอาหาร ดังนี้

เนื้อสัตว์ ในเนื้อสัตว์มีกรดอะมิโน 2 ชนิดที่มีผลต่อการสร้างสารสื่อประสาท คือ
ทริปโตแฟน ( tryptophan) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้เอง
จำเป็นต้องได้รับจากอาหาร เพื่อนำไปสร้างสารสื่อประสาทซีโรโตนิน และไทโรซีน (tyrosine)
ที่ร่างกายสามารถผลิตขึ้นมาเองได้ โดยจะนำไปใช้ในการสร้างสารสื่อประสาทโดปามีน

อาหารที่มีปริมาณโปรตีนสูง มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ และมีไทโรซีนสูง เช่น อาหารทะเล ถั่วเหลือง
เนื้อสัตว์ต่างๆ ไข่ และนม จะช่วยให้สมองมีพลัง กระฉับกระเฉง ตื่นตัว จึงเหมาะสำหรับเป็นอาหารในช่วงเช้าและกลางวัน
ส่วนอาหารที่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตสูง มีโปรตีนต่ำ และมีทริปโตแฟนสูง เช่น ข้าว ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ งา และขนมหวาน จะช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายและอารมณ์ดี    จึงเหมาะสำหรับเป็นอาหารในมื้อเย็น ที่ร่างกายต้องการพักผ่อนนอนหลับอย่างสุขสงบ

แป้งและน้ำตาล เมื่อถูกย่อยจะได้กลูโคสที่เป็นแหล่งพลังงานสำคัญของสมอง จึงควรพยายามรักษาระดับน้ำตาลในร่างกายให้คงที่ เพราะหากมีการเปลี่ยนแปลงมากเกินไปจะมีผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้ระดับของสารสื่อประสาทไม่สมดุล ซึ่งจะทำให้เกิดอาการมึนหัว ง่วงนอน สับสน และอาจถึงกับเป็นลม ชัก หมดสติได้ แหล่งของแป้งและน้ำตาลควรมาจากข้าว ธัญพืชชนิดต่างๆ

ผักและผลไม้ อุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่ โดยวิตามินบีชนิดต่างๆ จะช่วยในกระบวนการสร้างพลังงาน วิตามินเอ ซี และอี จะมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและช่วยเพิ่มภูมิต้านทานของสมองต่อสารต่างๆ ที่เป็นมลพิษ โซเดียม โพแทสเซียม และแคลเซียมช่วยในการส่งสัญญาณประสาทและกระบวนการเก็บความจำ เหล็กมีผลต่อสมาธิและการเรียนรู้ พบว่าเด็กที่ได้รับธาตุเหล็กอย่างเพียงพอจะมีผลการเรียนที่ดี และสนใจอยู่กับบทเรียนได้นานขึ้น อีกทั้งยังมีกากใย ช่วยในการดูดซึมน้ำตาล ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่เพิ่มสูงเร็วเกินไป

ไขมัน ส่วนประกอบของสมองมากกว่าร้อยละ 60 เป็นไขมันที่หุ้มเส้นใยประสาท ทำให้เพิ่มความเร็วในการขนส่งกระแสประสาทในสมอง และช่วยเพิ่มความจำด้วย กรดไขมันโอเมก้า-3 ที่ประกอบด้วย EPA (eicosapentaenoic acid) และ DHA (docosahexaenoic acid) มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง โดยพบว่าผู้ที่ได้รับกรดไขมันโอเมก้า-3 ไม่เพียงพอจะทำให้มีอาการซึมเศร้า ความจำและความสามารถในการเรียนรู้ลดลง IQ ต่ำ และอาจมีอาการทางจิตอื่นๆ    ในทารกและเด็กที่กำลังเจริญเติบโตจะทำให้สมองมีพัฒนาการที่ไม่สมบูรณ์ โดยมีขนาดเล็ก และมีผลต่อการมองเห็น กรดไขมันโอเมก้า- 3 มีมากในปลาทะเลทุกชนิด

ที่สำคัญ ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีองค์ประกอบของไขมันที่ผ่านกระบวนการมาแล้ว เนื่องจากไขมันดังกล่าวได้มีการปรับโครงสร้าง เมื่อเข้าสู่สมองจะมีผลกระทบต่อการทำงาน และการส่งกระแสประสาทของเซลล์สมอง นอกจากนี้ไขมันที่ผ่านกระบวนการนี้ยังมีลักษณะเป็นไขมันอิ่มตัว ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเกาะและอุดตันเส้นเลือดได้ โดยหากไปอุดตันเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองจะทำให้สมองบริเวณนั้นตาย และเป็นอันตรายถึงชีวิต


วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556

สารสื่อประสาท

สารสื่อประสาท


สมอง เป็นอวัยวะที่ซับซ้อน
ทำหน้าที่ควบคุมและสั่งการอวัยวะของร่างกาย
หากสมองไม่สั่งการ เราก็จะเหมือนกับตุ๊กตาที่ไม่สามารถทำอะไรได้
เราจะไม่สามารถ ยิ้ม หัวเราะ ร้องไห้ได้ เคลื่อนไหวไม่ได้ การได้ยิน การมองเห็น การรับรู้กลิ่นและรส การควบคุมอารมณ์ ความรู้สึก การเรียนรู้ และความจำ ก็บกพร่องจนถึงขั้นใช้งานไม่ได้

สมองประกอบด้วยเซลล์ประสาท (neuron) จำนวนมากกว่าแสนล้านเซลล์
ที่มีแขนงประสาท (neuronal processes) งอกออกมา
ประสานกันเป็นร่างแหเพื่อใช้ในการติดต่อและส่งสัญญาณประสาท
โดยมีอัตราความเร็วของการส่งสัญญาณตั้งแต่ 0.5-120 เมตร/วินาที

เซลล์ประสาทจะมีจำนวนคงที่ แต่การงอกของแขนงประสาทจะเพิ่มขึ้นได้หากได้รับการกระตุ้นจากการเรียนรู้และได้รับสารอาหารที่เหมาะสม ทำให้สามารถส่งสัญญาณประสาทได้เร็วขึ้น และมีการติดต่อประสานงานที่ต่อเนื่องครอบคลุม สมองจึงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่บ่งบอกถึงความฉลาดและสติปัญญาได้

การติดต่อกันระหว่างเซลล์สมองต้องการ สารสื่อประสาท (neurotransmitter) อย่างน้อย 3 ชนิดเพื่อใช้สำหรับส่งข้อมูล

สารสื่อประสาทเหล่านี้สร้างมาจากสารอาหารต่างๆ ที่เรารับประทาน
โดยมีวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยในกระบวนการ คือ

อะซิทิลโคลีน (Acetylcholine) ทำหน้าที่กระตุ้นเซลล์ประสาท ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ และมีบทบาทสำคัญเกี่ยวข้องกับการสร้างความจำด้วย พบว่าผู้ป่วยที่เป็นโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ (Alzheimer's disease) จะมีอะซิทิลโคลีนในสมองน้อยกว่าคนปกติ อะซิทิลโคลีนมีมากในอาหาร จำพวกไข่แดง ถั่ว ข้าวไม่ขัดสี ตับ เนื้อสัตว์ต่างๆ ปลา นม เนยแข็ง และผักโดยเฉพาะ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บร็อคโคลี เป็นต้น

โดปามีน (Dopamine) เกี่ยวข้องกับสมาธิ ความสนใจ และการเรียนรู้ ในขณะเดียวกันก็มีผลต่อความรู้สึกตื่นตัว โดยจะเห็นได้จากผู้ที่เป็นโรคจิตเภท (schizophrenia) จะมีโดปามีนในสมองมากกว่าคนปกติ โดปามีนมีมากในอาหารที่เป็นแหล่งของโปรตีนทุกชนิด เช่น เนื้อสัตว์ต่างๆ ผลิตภัณฑ์จากนม ปลา ถั่วต่างๆ รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง การรับประทานอาหารที่มีโปรตีนประมาณ 60-80 กรัม จะช่วยให้ตื่นตัว และมีพลังได้

ซีโรโตนิน (Serotonin) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการแสดงออกทางอารมณ์ ความรู้สึก และควบคุมวงจรการนอนหลับ โดยซีโรโตนินจะทำงานเฉพาะในบริเวณสมองส่วนกลาง (brain rewards system)เมื่อเกิดความรู้สึกพอใจ พบว่าผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้าจะมีระดับของซีโรโตนินในสมองบริเวณนี้น้อยกว่าปกติ สารอาหารคาร์โบไฮเดรตจำพวกแป้งและน้ำตาล เช่น ข้าว พาสต้า ผักประเภทหัว ธัญพืช และขนมปัง จะช่วยเพิ่มการดูดซึมทริปโตแฟน (tryptophan) ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นซีโรโตนินในสมอง โดยพบว่าภายใน 30 นาทีหลังรับประทานอาหารประเภทดังกล่าวจะทำให้รู้สึกผ่อนคลายและสงบได้นานหลายชั่วโมง

วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2556

วิตามิน แร่ธาตุ กับ สมอง



สมองเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย หากสมองได้รับการดูแลดี ย่อมเป็นผลดีต่อสุขภาพของคนๆ นั้น
อาหารการกินถือเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการทำงานของสมองเรา หากรู้จักเลือกกินอาหารดีๆ
จะทำให้สารอาหารไปบำรุงสมองได้ดี
นำไปใช้ในการซ่อมแซม ทำให้การทำงานและสุขภาพของสมองเจริญเติบโต แข็งแรง
สามารถทำงานตามหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


สารอาหารบำรุงสมองมีหลายชนิดด้วยกัน
ที่คนส่วนมากรู้จักกันดีคือ โอเมก้า-3 (Omega-3)ที่มีอยู่ในปลาทะเลน้ำลึก
นอกจากโอเมก้า-3 แล้วยังมีสารอาหารที่มีคุณสมบัติในการบำรุงสมองชนิดอื่นๆ อีก ดังนี้

โคลีน ได้จากอาหารบำรุงสมองที่มีอยู่ใน ข้าวกล้อง ข้าวโพด ผักใบเขียว โดยโคลีนจะมีมากในส่วนที่เป็นจมูกข้าวโพด ดังนั้นการนำข้าวโพดมาทำอาหารเพื่อให้ได้สารอาหารโคลีนจึงต้องใช้มีดคมฝานให้ลึกถึงซังข้าวโพด อาการที่ร่างกายขาดโคลีนคือ ปัญหาทางด้านความจำ หลงลืม เศร้าหมอง ขาดสมาธิและจิตใจหดหู่

แมงกานีส ช่วยควบคุมดูแลสุขภาพของสมองและระบบประสาท อาหารบำรุงสมองที่มีแมงกานีสมากได้แก่ อาหารทะเล ตับหมู ผักใบเขียวเข้ม แอปเปิ้ล มะม่วง เป็นต้น

วิตามินบี เป็นสารอาหารที่มีความจำเป็นในการทำงานของระบบประสาทและสมอง ซึ่งแยกออกได้เป็น วิตามินบี 1 ช่วยสร้างเซลล์ประสาท มีอยู่ในอาหารจำพวกเมล็ดธัญพืชหรืออาหารที่ปรุงจากเมล็ดข้าวเช่น ขนมปัง พาสต้า ฯลฯ

วิตามินบี 5 ช่วยในการสร้างโคเอ็นไซม์ที่ใช้ถ่ายทอดสัญญาณประสาท มีมากในเนื้อวัว ไก่ ปลา      สัตว์ปีกและเมล็ดพืชที่เป็นฝัก เช่น กระถิน ถั่ว ฯลฯ

วิตามินบี 6 เป็นสารที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์และความนึกคิดของคน พบได้ในอาหารจำพวก เครื่องในสัตว์ ปลาและเมล็ดถั่วที่เป็นฝัก

วิตามินบี 12 ช่วยสร้างความสมบูรณ์ให้เซลล์เม็ดเลือดแดง บำรุงรักษาเนื้อเยื่อประสาท พบในอาหารจำพวก ไข่ นม ปลา และผลิตภัณฑ์จากนมต่าง

กรดโฟลิค เป็นสารอาหารที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของสมอง เป็นสารอาหารสำคัญต่อระบบการเผาผลาญกรดไขมันโมเลกุลยาวในสมอง

แมกนีเซียม โปแตสเซียมและแคลเซียม ล้วนเป็นสารอาหารที่มีผลต่อการทำงานของระบบประสาท มักจะพบมากในอาหารบำรุงสมองจำพวกผักใบเขียวเข้ม ผลไม้และธัญพืชต่างๆ

การกินผักผลไม้จะช่วยทำให้ร่างกายได้รับสารต้านอนุมูลอิสระ(Antioxidant)
ช่วยชะลอการเสื่อมของสมองในคนอายุมากและมีส่วนป้องกันสมองจากการทำลายของอนุมูลอิสระ
พฤติกรรมการบริโภคของเราก็สำคัญ  การไม่งดอาหารเช้า รับประทานอาหารให้ตรงเวลา หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและฝึกการใช้สมอง(ความคิด)ด้วยกิจกรรมฝึกสมอง ก็จะช่วยบำรุงรักษาและชะลอการเสื่อมของสมองอย่างได้เป็นอย่างดี

วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556

น้ำมันปลา น้ำมันตับปลา โอเมก้า3


อาหารเสริม คือ อาหารที่เสริมนอกเหนือจากอาหารมื้อหลักของเรา
ส่วนใหญ่ใช้ในคนที่ได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน
แต่หากเรารับประทานอาหารเพียงพอ และครบถ้วนแล้ว การทานอาหารเสริมก็อาจไม่มีความจำเป็น

อาหารเสริมที่ช่วยในเรื่องความจำและสมองที่เป็นที่นิยมก็คือ โอเมก้า-3 ที่มีอยู่ในน้ำมันปลาและน้ำมันตับปลา ทั้ง 2 อย่างนี้มีอยู่ในปลาทะเล

น้ำมันปลา (Fish Oil)เป็นน้ำมันที่สกัดได้จากปลาทะเลน้ำลึก
เป็นน้ำมันที่สกัดจากเนื้อ หนัง หัว และหาง ของปลาทะเล
โดยมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงชนิดโอเมก้า-3 ที่สำคัญอยู่ 2 ชนิด คือ
EPA (Eicosapentaenoic acid) และ DHA (Docosahexaenoic acid)
กรดไขมันจำเป็นกลุ่มโอเมก้า-3 นี้ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์เองได้
จำเป็นที่จะต้องได้รับจากอาหารที่ทานเข้าไป
ประโยชน์ คือ ช่วยลดระดับไขมันในเลือด
โดยเฉพาะลดไตรกลีเซอไรด์และมีฤทธิ์ในการต้านการเกาะตัวของเกล็ดเลือด
จึงช่วยให้ระบบหมุนเวียนโลหิตดีขึ้น บำรุงสมองและระบบประสาท
เหมาะสำหรับทารกจนถึงวัยเด็กที่สมองกำลังพัฒนาสติปัญญาและการเรียนรู้
ช่วยป้องกันความจำเสื่อมในผู้สูงอายุ ต้านการอักเสบ เช่น ไขข้ออักเสบ โรคผิวหนังบางชนิด
เพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน บรรเทาอาการหอบหืด ภูมิแพ้ ช่วยลดความดันโลหิตในผู้ที่มีความดันโลหิตสูงในระยะเริ่มแรก

น้ำมันตับปลา (Cod Liver Oil) สกัดจากตับของปลาทะเล นิยมรับประทานเพื่อเสริมวิตามินเอ
ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมเยื่อบุผิวให้เป็นปกติ
นอกจากนี้ยังมีวิตามินดี ที่ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสเข้าสู่ร่างกาย
ทำให้การสร้างกระดูกเป็นไปอย่างปกติ

น้ำมันตับปลานั้นส่วนใหญ่จะมีปริมาณวิตามิน เอ และดีในปริมาณที่สูงและได้น้ำมันด้วย
หากได้รับวิตามินเกินขนาดโดยเฉพาะวิตามินเอและดี
ก็อาจเกิดพิษจากการสะสมวิตามินเกินความจำเป็น
โดยมีอาการความดันในสมองสูง ปวดศีรษะ หิวน้ำ

น้ำมันปลาต่างจากน้ำมันตับปลา ตรงที่น้ำมันตับปลาสกัดจากตับของปลาทะเลบางชนิด
ซึ่งมีวิตามิน A และ D ในปริมาณสูง จึงเหมาะสำหรับ เสริมสร้างกระดูกและสายตา
ซึ่งในน้ำมันปลามีน้อยกว่ามาก


หากร่างกายเราต้องการกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า-3
ควรรับประทานเนื้อปลาทะเล เพราะน้ำมันปลาจะแทรกซึมอยู่ในเนื้อเยื่อของปลาอยู่แล้ว
การกินปลาทะเล 200-300 กรัมต่อวัน 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์
จะสามารถเพิ่มกรดไขมันโอเมก้า 3 ในอาหารได้ถึง 0.2-5.0 กรัมต่อวัน
ซึ่งนับว่าเพียงพอต่อร่างกาย
ถ้าหากยังไม่เพียงพอ เราค่อยรับประทานอาหารเสริม


วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556

ความจำสั้นๆ ยาวๆ

อะไรเอ่ย เดี๋ยวสั้นบ้าง ยาวบ้าง

เฉลย ความจำ ค่ะ อย่าคิดกันไปไกลนะคะ
ก็ความจำของคนนี่แหละ ที่บางทีก็จำได้น้านนาน บางทีไม่ถึง 5 นาทีก็ลืมแล้ว

ความจำสั้นกับยาว แตกต่างกันดังนี้

ความจำระยะสั้น เป็นความจำที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว เมื่อเวลาผ่านไปเราก็จะลืมสนิท
เช่น เราพบคนคนหนึ่ง ได้รับการแนะนำให้รู้จักชื่อกัน ตอนแรกเราอาจจะจำชื่อเขาได้แม่น แต่พอได้จดลงกระดาษหรือบันทึกลงมือถือแล้ว พอเวลาผ่านไปก็ลืมชื่อเขา นึกเท่าไรก็ไม่ออก จริงมั้ย?
เพราะว่าเทคโนโลยีนี่แหละที่ทำให้คนเราใช้ความจำน้อยลง เพราะเรารู้ว่าไม่ต้องจดจำมาก ยังไงๆ ข้อมูลก็อยู่ในมือถืออยู่ดี จะดึงข้อมูลออกมาใช้เมื่อไรก็ได้


ส่วนความจำระยะยาว คือ ความจำที่อยู่กับเราถาวร เปรียบเสมือนคลังข้อมูลใหญ่ๆ ที่บรรจุข้อมูลไว้ได้ไม่อั้น ซึ่งความจำระยะยาวของแต่ละคนก็จะมีศักยภาพที่แตกต่างกัน


มี 6 วิธีเพื่อจะเปลี่ยนความจำระยะสั้นของเราให้กลายเป็นความจำระยะยาว มาดูกันค่ะ ว่ามีอะไรบ้าง


1. ทำความเข้าใจแทนการท่อง การสร้างความจำระยะยาวที่ดี ควรทำความเข้าใจในเนื้อหาว่าผลตรงนี้เกิดขึ้นได้จากอะไร เกิดได้อย่างไร คิดให้เป็นลำดับ ข้อมูลก็จะอยู่ในสมองนานกว่าการท่อง บางทีท่องแทบตายเดินชนเสาไฟฟ้าทีเดียว ก็วิ๊งๆ ลืมหมดแล้ว

2.อ่านพร้อมเสียงหรือติวให้เพื่อนๆ นอนยันเลยว่าดีกว่าจริงๆ การอ่านออกเสียงได้ประโยชน์หลายเด้ง ตาก็ได้เห็นเนื้อหา แถมหูยังได้ยินเสียงที่ตัวเองอ่านอีก ซึ่งก็จะกระตุ้นความจำสมองได้ดี หรือการติวให้เพื่อนก็ทำให้เราแม่นเนื้อหามากยิ่งขึ้นเพราะคนเราจะสอนคนอื่นได้ก็ต้องเข้าใจก่อนและยังต้องหาวิธีเรียบเรียงสอนให้คนอื่นรู้เรื่องตามเราอีก นั่นแหละเราก็ได้ทบทวนไปในตัว ทีนี้ล่ะปึ้กๆ จำไปตลอดชีวิตชัวร์!

3. สร้างสูตรเป็นของตนเอง การสร้างสูตรคือการทำเนื้อหาขนาดยาวที่มันจำยากมากๆ หรือสับสนมาสร้างเป็นสูตร ส่วนใหญ่ก็จะเอาพยางค์หรือคำแรกมาสร้างเป็นประโยค สูตรยอดนิยม เช่น สูตร “ไก่จิกเด็กตายบนปากโอ่ง” เชื่อว่าคงคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็ก และคิดว่าหลายคนก็คงจะยังจำกันได้แม่นยำถึงอักษรกลางเหล่านี้ มากระทั่งเดี๋ยวนี้



4.กินอาหารที่มี DHA เพราะ DHA บ่อยๆ เพราะเป็นสารที่มีความสำคัญต่อสมอง และความจำมาก ส่วนใหญ่จะมีในอาหารทะเลประเภทปลา น้ำมันตับปลา เชื่อกันว่า ถ้ากินแล้วจะทำให้ฉลาด ลดการเกิดอัลไซเมอร์

5.ออกกำลังสมอง ถ้าอยากให้ร่างกายแข็งแรงก็ต้องออกกำลังกาย อันนี้ก็เช่นเดียวกัน ถ้าอยากให้สมองแข็งแรง มีความจำดีๆ ก็ต้องออกกำลังสมองบ้าง หาเกมฝึกสมองมาเล่นบ้าง เช่น เกมซูโดกุ อักษรไขว้ ให้สมองได้ทำงานบ่อยๆ จะได้คล่องแคล่วว่องไวค่ะ

6.พักสมองบ้าง สุดท้ายถ้าสมองล้าเกินไป ก็พักบ้างอะไรบ้างนะคะ ไม่ว่าจะพักโดยการนอนหลับ ฟังเพลงเบาๆ ผ่อนคลายก็ได้ หรือจะเข้าไปดูสีเขียวๆ ของต้นไม้ก็ได้ พักก่อนที่สมองมันจะระเบิด เดี๋ยวจะจำอะไรไม่ได้เลย  ^____^

ไอเดีย

ขัดเกลาไอเดีย 



ในแต่ละวันเราพบข้อมูลต่างๆ 
และรับมาอย่างไม่ได้สนใจนัก 
หากเราเปลี่ยนท่าที รับสิ่งที่เข้ามาใหม่อย่างใส่ใจ 
สิ่งที่เราได้รับก็จะแตกต่างออกไป 


ในความเป็นจริง 
ต่อให้เป็นข้อมูลที่ลืมง่าย เพราะรับมาเพียงผิวเผิน 
แต่ถ้าเข้าถึงบ่อยๆ ก็จะฝังอยู่ในหัวและไม่ลืมได้ง่ายๆ 

เมื่อฝึกการเข้าถึงข้อมูลให้ลึกยิ่งขึ้น 
จะมองเห็นภาพรวมของเป้าหมาย
และสัญชาตญาณของคุณก็จะเริ่มทำงาน 
เพราะข้อมูลเหล่านั้นจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของคุณ 

ยังมีขั้นตอนการเข้าถึงแก่นของข้อมูลและให้คิดต่อยอดจากจุดนั้น

ซึ่งขั้นตอนนี้ ทั้งตัวเราและข้อมูลจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน 
ถึงขั้นนี้ไอเดียต่างๆ จะผุดขึ้นมาเอง 

ดังนั้นขอให้คุณลองสัมผัสกับข้อมูลต่างๆ 
ให้กว้างขึ้น บ่อยขึ้น และลึกซึ้งยิ่งขึ้น 

สรุปทั้งหมดให้จำง่ายๆ 
แล้วเข้าถึงข้อมูลบ่อยๆ จะได้ไม่ลืม 

เข้าถึงข้อมูลให้ลึกซึ้งจะเกิดสัญชาตญาณ 

เมื่อถึงที่สุดแล้วจะเกิด "ไอเดีย"

วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556

บันทึกความทรงจำ

บันทึกความทรงจำ



โลกใบนี้มีคนจำนวนไม่น้อย
ที่กลัดกลุ้มอยู่กับความทรงจำอันเลวร้าย 

พอมองเข้าไปในจิตใจ 
ก็เห็นแต่สีหน้าอันหวาดระแวงของตัวเอง 

ความทรงจำที่เลวร้ายนั้นมาจากหลายทิศทาง 
บ้างมาจากเพื่อน จากครอบครัว จากสังคม จากสิ่งแวดล้อม และจากตัวเอง 
เป็นการยากที่เราจะลบใบหน้าอันหวาดระแวงในหัวออกไปได้ทันที 

ในกรณีนี้ อันดับแรกต้องเตรียมพร้อม
ที่จะบันทึกหน้าตาที่ร่าเริงแจ่มใสเอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมีโอกาส 

แต่ละคนคงมีมาตรฐานของใบหน้าร่าเริงแจ่มใสต่างกันไป 
แล้วหน้าตาแบบไหนถึงจะดีล่ะ 
ก็บันทึกสะสมใบหน้าที่เราคิดว่าดี ก็แล้วกัน 
ยิ้มมาก ยิ้มน้อยก็ไม่เป็นไร ขอแค่ตัวเราเองคิดว่ามันเป็นใบหน้าที่แสดงออกถึงสีหน้าอารมณ์ดี ร่าเริง ก็เพียงพอแล้ว 

พยายามเก็บสีหน้าอารมณ์ดีๆ ไว้ในหน่วยความจำส่วนตัวให้มากที่สุดก็เป็นอันใช้ได้ 
ระหว่างที่เดินอยู่ตามถนน พยายามอย่าไปใส่ใจสีหน้าที่ไม่ดีของคนอื่น 
ให้สนใจเฉพาะสีหน้าที่ร่าเริงแจ่มใสของคนที่เราพบ 
และเราก็สั่งสมประสบการณ์เช่นนี้ไว้ให้ต่อเนื่อง 

สักวันก็จะสามารถมองเห็นสีหน้าที่สดใสภายในจิตใจได้เอง อย่างเป็นธรรมชาติ 
ในกรณีที่เผลอนึกถึงใบหน้าอันไม่พึงประสงค์ขึ้นมา ก็ให้รีบเปลี่ยนเป็นใบหน้าอันยิ้มแย้มซะ 

วิธีที่ทำนี้ เรียกว่า “บันทึกความทรงจำใหม่” 
ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้ความสามารถในการจินตนาการมาเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจ 
เทคนิคนี้มีพลังเปลี่ยนแปลงได้แม้กระทั่งมุมมองของชีวิต 

ความทรงจำดีๆ มักก่อให้เกิดความอบอุ่นในหัวใจเสมอ 

วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

การจำ กับ อารมณ์

การจำ กับ อารมณ์ 



ในวันนี้ขอเสนอวิธีการสร้างความทรงจำ ด้วยการเติมอารมณ์ลงไปในความจำ
เพื่อช่วยไม่ให้เราลืมความจำนั้นง่ายๆ


“วิธีเติมอารมณ์” 
ถือว่าเป็นเทคนิคอย่างหนึ่ง
ของการช่วยรักษาความทรงจำให้อยู่กับเราได้นานขึ้น
นอกจากนี้ยังเป็นวิธีปรับความรู้สึกให้ดื่มด่ำกับชีวิต ได้อีกด้วย

เพราะเราก็ทราบกันดีว่า “อารมณ์”
ทำให้คนเรารู้สึกและจดจดเหตุการณ์ที่สะเทือนอารมณ์เราได้อย่างง่ายดาย
แทบจะไม่ต้องพยายามจำอะไรเลย
และถึงแม้อยากลืม  ก็ทำได้ลำบาก

แต่ในการจำข้อมูลทั่วไป หากจำอย่างไร้อารมณ์ เราก็จะได้เพียงแค่รับรู้เฉยๆ
ไม่ทำให้เราสะเทือนอารมณ์จนเราจำมันได้
ความจำประเภทนี้อยู่ในสมองแค่เพียงผิวเผินเท่านั้น

ในทางตรงข้าม ถ้าเติมอารมณ์และความรู้สึกของตนเองลงไป
สร้างอารมณ์และรู้สึกให้มันสมจริงขึ้นมา
ข้อมูลนั้นก็จะหยั่งรากลึกเข้าไปเป็นความทรงจำส่วนลึกได้

          
     


การเติมอารมณ์ลงไปกับสิ่งที่ต้องการจดจำ ก็คล้ายกับการปรุงรสชาติอาหาร
ปรุงรสหวาน เปรี้ยว เค็ม เผ็ด ขม ลงไป
เหมือนเวลาที่เราได้กินอาหารอร่อยถูกลิ้น ก็ทำให้เราชอบ
ทำให้จดจำรสชาตินั้นอยู่นานกว่าปกติ

หรือถ้ารสชาติอาหารแย่มากกก... กินแล้วรู้สึกว่าไม่ชอบอาหารนั้นเอาซะเลย
ก็ทำให้จดจำรสชาติอาหารนั้นได้นานกว่าการรับประทานอาหารรสชาติธรรมดา

แม้ในความเป็นจริง
ความรู้สึกที่ได้จะไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่จำ ก็ให้จำโดยสมมุติความรู้สึกขึ้นมา

ตัวอย่างเช่น  เมื่อจะจดจำใครสักคน
ให้ใส่อารมณ์เข้าไปกับการจำใบหน้าด้วย
จะเป็นความรู้สึกผูกพันหรือเรื่องแปลกประหลาดก็ได้
จดจำโดยใส่ความรู้สึกในลักษณะประเมินค่าทางอารมณ์ลงไป
ตอนนึกสิ่งที่จำก็ให้นึกไปพร้อมๆ กับอารมณ์นั้น

จะใช้รูปแบบอารมณ์แบบกว้างๆ กับวิธีไม่ได้ ให้เจาะอารมณ์ลงไปเลยว่าจะจดจำข้อมูลที่เราต้องการนี้กับอารมณ์แบบไหน

ดังนั้น ทางที่ดี ให้เตรียมอารมณ์ไว้ล่วงหน้าสัก 20 อย่าง เช่น เกลียด รักใคร่ เศร้าสร้อย วิตกกังวล กลัว ตกใจ
เมื่อตั้งรูปแบบอารมณ์ได้แล้วจึงค่อยกำหนดสีสันของความรู้สึกใส่ลงไปพร้อมกับข้อมูลที่ต้องการจำ

หากแยกใช้รูปแบบของอารมณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถดึงอารมณ์ร่วมของตัวเองมาช่วยในการจำได้

เรื่องที่จำแต่ละอย่างก็จะกลายเป็นสิ่งสำคัญและมีค่าขึ้นมา
อาจกล่าวได้ว่า วิธีเติมอารมณ์เป็นแนวทางในการจำ โดยใส่ใจกับสิ่งที่ถูกใจและไม่ถูกใจนั่นเอง
ครั้งหน้า ลองใช้วิธีจำโดยใส่อารมณ์เข้าไปด้วยนะคะ จะได้จำแม่นขึ้น...

วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556

ฝึกการจำเพื่อป้องกันโรคสมองเสื่อม

ฝึกการจำเพื่อป้องกันโรคสมองเสื่อม




เมื่อคนเราแก่ตัว
ความรู้แต่ละอย่าง ไม่ได้ถดถอยลงในระดับที่เท่ากัน
ความสามารถทางภาษาจะไม่ถดถอยลง
แต่ทักษะในการรับรู้มิติและรูปทรงจะลดต่ำ
สาเหตุที่ทักษะทางภาษาไม่ค่อยถดถอยลง เนื่องจากเป็นทักษะที่ใช้อยู่ตลอดและจำเป็นในการสื่อสาร ในขณะที่ความสามารถในการรับรู้มิติหรือรูปทรง ไม่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารโดยตรง


เมื่อกำลังกายและสภาพจิตเสื่อมถอยลงตามวัยก็มีส่วนเกี่ยวกับการถดถอยทางปัญญา
ดังนั้นเพื่อรับมือกับความจำที่ถดถอยอันเกิดจากความชรา เราจำเป็นต้องฝึกใช้พื้นที่ในการจำให้เกิดประโยชน์  


ความทรงจำดีๆช่วยชะลอความจำเสื่อม ได้

เพียงแค่คุณเลือกรูปถ่ายที่เป็นความทรงจำดีๆออกมาแล้วจัดวางไว้ในห้อง และให้ความทรงจำดีๆ เหล่านั้นทำงาน แม้ในช่วงเวลาที่ไม่ได้นึกถึงมันก็ตาม


เราลองใช้ประสบการณ์ในวัยเด็กเป็นตัวอย่างสำหรับวิธีฟื้นความจำกันดู

ให้หลับตา แล้วจินตนาการถึงลูกแก้วขนาดใหญ่กำลังส่องแสงสว่างไสว ลองสัมผัสมันดู ลูกแก้วนั้นทึบแสง ข้างในอัดแน่นไปด้วยประสบการณ์พิเศษในวัยเด็กของคุณ
จากนั้นให้คุณนับถอยหลังสัก 15 นาที ลูกแก้วจะค่อยๆ ใสขึ้น จนคุณเริ่มมองเห็นประสบการณ์วัยเด็กอยู่ข้างใน
หลังจาก 15 วินาทีผ่านไป ดูภาพที่ปรากฏที่ลูกแก้วให้ดี เนื้อหาเกิดขึ้นเมื่อไร ตรวจสอบว่าเป็นสิ่งที่คิดขึ้นมาใหม่หรือไม่

วิธีนี้ ลูกแก้วจะอยู่ตำแหน่งเดียวและไม่เคลื่อนไหว


ส่วนวิธีที่สองให้สร้างความรู้สึกว่าจู่ๆ ลูกแก้วลูกนั้นก็โผล่มาจากอีกฟากหนึ่งที่ห่างออกไป
จากนั้นให้คุณหลับตาและจินตนาการถึงโลกภายในจิตใจคร่าวๆ
นึกภาพว่าลูกแก้วลูกเล็กๆ ลอยมาจากทางซ้ายสุดสายตาแล้วค่อยๆ ใหญ่ขึ้น ยิ่งใหญ่ยิงมองเห็นอะไรยิ่งใหญ่ภายใน มองดูให้ดี คุณเห็นภาพแบบไหน


คนที่เห็นภาพในอดีตชัดเจน
ภาพนั้นคงมีความหมายพิเศษอะไรบางอย่าง


วาดภาพที่นึกออกให้สมจริงยิ่งขึ้น และสร้างรายละเอียดให้สมบูรณ์ ด้วยวิธีการนี้ คลังเก็บความทรงจำที่มืดมิดจนมองไม่เห็นอะไรจะส่องสว่างและสมบูรณ์ขึ้น
การทบทวนความทรงจำจะกลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้ผ่านการฝึกสร้างภาพในลักษณะนี้


เราทุกคนในอดีตล้วนผ่านประสบการณ์มามากมายในชีวิต
คนส่วนใหญ่คงคิดว่าลืมรายละเอียดของประสบการณ์เหล่านั้นไปหมดสิ้น
แต่ความจริงแล้วไม่ใช่
หากทำตามที่แนะนำอย่างเหมาะสม จะสามารถฟื้นอดีตที่น่าจะลืมไปแล้วให้กลับมาแจ่มชัดได้




การจำ โดย วิธีสร้างประสบการณ์

วิธีการจำให้แจ่มชัด 


การจะเริ่มจำสิ่งใดก็ตาม
หากเราต้องการทำให้ความจำนี้แจ่มชัดหรือจำได้ดีขึ้น
พบว่าการสร้างมโนภาพอย่างชัดเจนสามารถเป็นคำตอบของคำถามนี้ได้


วิธีที่ว่านี้ คือ วิธีสร้างประสบการณ์

เป็นเทคนิคในการสร้างประสบการณ์ที่หลากหลาย
เสริมมโนภาพ สร้างความคิดในสมองให้ปลอดโปร่ง
และยังทำให้ความจำชัดเจนขึ้น


วิธีสร้างประสบการณ์สำหรับควบคุมมโนภาพในสมอง มี 6 อย่าง
ลองทำกันดูนะคะ

ตัวอย่าง ลองนึกถึงผลไม้ที่น่าอร่อยสักชนิด (แล้วเริ่มทำตามกระบวนการ
สร้างมโนภาพตามด้านล่างเลย)




1. สร้างมโนภาพให้ชัดผ่านการ ย่อ-ขยาย” 
ขั้นตอนแรกของวิธีย่อ-ขยาย คือ จินตนาการถึงขนาดของผลไม้ลูกนั้น และกำหนดว่ามันอยู่ห่างจากตัวเราเป็นระยะเท่าไร(กี่เซนติเมตร)
จากนั้นให้ขยายภาพในความคิดขึ้น
จินตนาการต่อไปว่าผลไม้ลูกนั้น ใหญ่ขึ้นเป็น 2 เท่าอย่างรวดเร็ว
ทำให้ใหญ่ขึ้นอีก ใหญ่ขึ้นอีก จนมีขนาดมากกว่าเดิม 4 เท่า
มันโตขึ้นเรื่อยๆ จนมีขนาดใหญ่กว่าเดิม 100 เท่า
ต่อไปเราจะย่อขนาดของผลไม้ลงอย่างช้าๆ จนกลับสู่สภาพเดิมอีกครั้ง
เคล็ดลับคือต้องทำให้ภาพนั้นใหญ่ขึ้นก่อน แล้วจึงทำให้กลับสู่ขนาดเดิม
จะทำให้เราจำมโนภาพนั้นได้ผ่านการย่อ-ขยาย


2. เพิ่มความสมจริงด้วย วิธีย้ายสลับ” 
ขยับภาพผลไม้ในหัวไปข้างหน้าและข้างหลัง
จากนั้นจับย้ายไป 1 เมตร 2 เมตร 3 เมตร... ย้ายไกลออกไปโดยที่ภาพยังชัดเจนอยู่
ต่อไปให้ย้ายไปด้านขวา
จับมาไว้ที่เดิม
จากนั้นย้ายไปด้านซ้าย
จับมาไว้ที่เดิม
จับเลื่อนไปในทิศทางต่างๆ
แล้วกลับมาตำแหน่งเดิม
การจดจำนี้จะทำให้ภาพที่วาดในหัวมีความชัดเจน มีน้ำหนัก เด่นชัดขึ้นมา

3. สร้างความรู้สึกด้วย วิธีจับหมุน
หมุนภาพผลไม้ในหัวไปตามทิศทางที่คุณชอบ
คุณต้องสร้างสัมผัสของแรงมือที่จับผลไม้ น้ำหนักของผลไม้ที่คุณรู้สึกในมือ
เพิ่มปัจจัยที่จำเป็นของการหมุนเข้าไป

4. เก็บรายละเอียดอย่างถี่ถ้วนด้วย วิธีส่องกระจก” 
ให้คิดว่ามีกระจกอยู่ข้างหน้าผลไม้ที่คุณถือ
จากนั้นขยับผลไม้ตรงหน้า
แล้วสังเกตว่าผลไม้เคลื่อนไปในทิศทางใด

วิธีนี้จะช่วยให้เรารู้ถึงการทำงานของสมองที่ซับซ้อนดึงความสามารถภายในใจออกมา

สร้างภาพผลไม้และเงาสะท้อนของมัน จากนั้นขยับภาพทั้งสองพร้อมกัน มองให้เห็นรายละเอียดของผลไม้ชัดเจนขึ้น

5. เพิ่มรสชาติด้วย วิธีตกแต่งสี
ให้เติมสีที่คุณชอบ เช่น เหลือง แดง น้ำเงิน ให้มีลวดลาย ลายจุด ลายทาง สวยงามจนคุณต้องหลงใหลผลไม้นั้น

6. สร้างความแตกต่างด้วยวิธี แสงส่อง” 
ให้คุณจินตนาการ จัดแสงกระทบกับภาพของผลไม้
ให้เกิดเงาที่แตกต่าง สร้างภาพที่มีความรู้สึก เช่น สุดยอด”“สวยจัง


การควบคุมและวาดภาพในสมองให้แจ่มชัดทั้ง 6 แบบที่กล่าวมาแล้วนี้
เรียกว่า วิธีสร้างประสบการณ์
ควรใช้ผสมผสานกันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพดี

ทดลองกันดูนะคะ เปลี่ยนจากภาพผลไม้เป็นอะไรก็ได้ที่เราอยากจำ!!!



วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

เทคนิคการจำ กับ สีสัน

ความจำ หมายถึง การเก็บรักษาข้อมูลได้ในระยะเวลาหนึ่ง เกี่ยวข้องกับการเก็บรักษาข้อมูลในช่วงเวลาที่ผ่านมา อาจเป็นเวลาน้อยกว่า 1 วินาที หรือยาวตลอดชีวิตก็ได้
การจำไม่ใช่ใช้แค่ หัวแต่ต้องใช้ ร่างกายด้วย
คนมักคิดว่าการจำต้องใช้ หัวเพียงอย่างเดียว
แต่ความจริงแล้วการจำทำได้อีกหลายวิธี เช่น จดจำวิธีการขี่จักรยาน จดจำวิธีการว่ายน้ำ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้จำที่ หัวแต่จำด้วยร่างกาย
การจำด้วยร่างกาย จะให้ความสามารถในการเรียนรู้ด้านการเคลื่อนไหว
การจำในลักษณะนี้จะเกี่ยวข้องกับส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหว เช่น ก้านสมอง สมองส่วนหลัง และเบซัล แกงเกลีย(Basal Ganglia) ซึ่งเป็นประสาทส่วนควบคุมและประสานการเคลื่อนไหวต่างๆ ของร่างกาย
ในโลกแห่งการจำ สิ่งที่สำคัญคือการทำซ้ำ
โดยทั่วไปคนเราเมื่อพบเจอกับความรู้เดิมหรือประสบการณ์เดิมที่เคยผ่านมาแล้วจะจดจำได้ง่าย
ฉะนั้นเราจึงควรรู้ศาสตร์แขนงอื่นเพื่อจะได้สามารถนำไปเชื่อมโยงกับความรู้ใหม่ได้


หลักสำคัญ 3 ประการในการพัฒนาของความจำ คือ
พลังการจดจำ(ความสามารถในการบันทึกข้อมูลเอาไว้ในจิตใจได้อย่างถูกต้อง),
พลังการเก็บรักษา(ความสามารถในการเก็บรักษาข้อมูลเอาไว้ภายในจิตใจได้อย่างแจ่มชัด),
พลังการเรียกข้อมูล(ความสามารถในการเรียกข้อมูลออกมาได้อย่างที่ใจต้องการ)



เวลาจำ ตัวตัดสินว่าจะจำได้หรือไม่คือ เราจะนำข้อมูลมาสร้างเป็นภาพๆ ได้อย่างไร
วิธีที่ได้ผลคือ...

การขยายข้อมูลให้เกินจริง และปล่อยให้จินตนาการทำงานอย่างอิสระและโลดแล่น
ตอนใช้จินตนาการ หากทบทวนภาพเฉพาะตัวสักสามครั้ง ภาพที่ได้จะแจ่มชัดขึ้น การทบทวนเพียงครั้งเดียวยังมีพลังไม่มากพอ เราจึงทบทวนถึงสามครั้ง ยกตัวอย่าง เมื่อเราจินตนาการถึงเรื่องราวบางอย่างหรือนึกภาพใครสักคนขึ้นมา บางครั้งภาพที่เห็นไม่เป็นรูปธรรม ได้เพียงนึกเป็นความรู้สึกกว้างๆ แสดงว่า เป็นการทำงานของ สองส่วนควบคุมความรู้สึก
ตรงกันข้าม เมื่อเราจินตนาการและเห็นภาพหรือการเคลื่อนไหวชัดเจน นั่นหมายถึง
สมองส่วนควบคุมรูปทรงกำลังทำงานอยู่ เมื่อจะสร้างมโนภาพในการจำ ขอให้ตั้งเป้าว่าจะใช้ทั้งความรู้สึกและรูปทรง ในการจินตนาการ


วิธีวาดรูป เป็นเทคนิคการจำโดยแปลงข้อความเป็นภาพวาด อีกทั้งยังเป็น การวาดภาพในหัว และเป็นเทคนิคสร้างจินตนาการ ได้ด้วย ขึ้นอยู่กับวิธีการใช้ อธิบายให้เป็นรูปธรรมก็คือ วิธีการวาดภาพโดยนำตัวอักษรมาเรียงร้อยต่อกัน จัดตำแหน่งคีเวิร์ดเป็นภาพที่ต้องการ แล้ววาดให้เป็นภาพคน เรื่องราว ภูเขา ต้นไม้ หรือบ้าน


วิธีช่วยการจำอีกอย่างที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีผลต่อความสามารถในการจดจำคือ การใช้สีสันของปากกา มีบางโฆษณา นำเรื่องสีสันเข้ามาใช้ในด้วยคำโฆษณา สีช่วยเพิ่มความจำ




"สีช่วยเพิ่มความจำ" หลายคนคงคุ้นๆ กับประโยคนี้
และก็มีหลายงานวิจัยที่ออกมาพิสูจน์แล้วว่ามันเป็นจริง!!! เพราะเจ้าสีสันต่างๆ เหล่านี้ส่งผลต่อการเรียนรู้ รับรู้ของสมองคนเรา
สีสันต่างๆ ทำให้ความคิด การรับรู้ อารมณ์ ของเราเปลี่ยนแปลงได้
สังเกตได้จากคนส่วนใหญ่มักใช้โทนสีเย็น(เช่น สีฟ้า เขียว) ในการทาสีบ้านเพราะให้ความรู้สึกสบายตา อารมณ์เย็น สงบกว่าการใช้สีที่กระตุ้นความรู้สึก(เช่น สีแดง ส้ม) ในขณะเดียวกัน สีสีนของเครื่องเขียนของเรา ก็ทำให้เราสามารถจดจำเรื่องราวต่างๆ ที่เราขีดเขียนลงบนกระดาษได้ดีขึ้น
ลองใช้ปากกาสีหรือไฮไลท์ สีสันที่เราชอบ ขีดเขียนไปบนสิ่งที่เราต้องการจดจำ แล้วก็อ่านทำความเข้าใจกับมันซะหน่อย หรืออาจใช้ร่วมกับวิธีที่แนะนำไว้ด้านบน จะช่วยให้เราจดจำเรื่องราวได้ดีขึ้นกว่าการใช้ปากกาสีเดียว



ทีนี้มาดูกันว่าแต่ละสีสันให้ความรู้สึกต่อผู้ใช้อย่างไร และจะช่วยการจำได้อย่างไร

สีแดง แสดงความรู้สึกร้อนแรง แทนอารมณ์ได้ทั้งความโกรธและความรัก จากการศึกษาแล้วพบว่าสีนี้กระตุ้นให้หัวใจสูบฉีดเลือดแรงขึ้น ชีพจรจะเต้นเร็ว แต่เราสามารถหาสิ่งของสีแดง มาวางไว้บนโต๊ะทำงาน เพราะสีแดงช่วยเพิ่มสมาธิและความจำได้อย่างไม่น่าเชื่อ เจ๋งมากๆ แต่ก็อย่านำของสีแดงมาใกล้กับสีเขียวและม่วง เพราะสีขัดแย้งกันมากยิ่งมองแล้วปวดลูกตา


สีชมพู เป็นสีที่มีลักษณะปลอบประโลมให้จิตใจและความรู้สึกต่างๆ สงบลงในขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกของการมีน้ำใจดี จิตใจกว้างขวาง อบอุ่นและทะนุถนอม ความรักจึงมักนำสีนี้มาบำบัดหรือบรรเทา


สีเหลือง/สีส้ม แสดงถึงความสุข ความร่าเริงสดใส ความเบิกบาน ความมีชีวิตชีวา งานเฉลิมฉลองเป็นสีของความแจ่มใส มักจะเกี่ยวข้องกับเชาว์ สติปัญญาข้างในและพลังของความคิดเป็นภูมิและความหยั่งรู้ เป็นความจำที่แจ่มใส ความคิดที่กระจ่างเป็นอารมณ์ของการใช้ความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ เป็นสีที่กระตุ้นให้เกิดการมองโลกในแง่ดี แต่อยู่สีเดียวไม่ได้ ต้องประกอบกับสีอื่นๆ ที่เข้มกว่า
แสดงถึงความร่าเริงสดใสเหมือนกันกับสีส้มที่ช่วยลดความรู้สึกหดหู่ได้ เป็นสีที่แสดงถึงความกระฉับกระเฉง ว่ากันว่าเป็นสีที่ใช้เรียกความน่าสนใจได้


สีเขียว แสดงถึงการเจริญเติบโต การเงิน และสิ่งแวดล้อม ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย หากโกรธหรือโมโหให้มองหาต้นไม้หรือสีเขียว เพราะจะช่วยให้หายใจได้ลึกขึ้นและช้าลง เหมือนว่ากำลังจะได้รับพลังอันผ่อนคลายจากธรรมชาติ
แต่บางครั้งหากนำมาเปรียบกับคนก็อาจหมายถึงสุขภาพไม่ดีเหมือนกัน


สีน้ำเงิน ถ้าสีแดงทำให้เลือดสูบฉีดเร็ว ก็มีสีน้ำเงินนี่แหละที่ทำให้เลือดสูบฉีดช้าลง เยือกเย็น สงบ และซื่อสัตย์ แสดงถึงความทันสมัยของเทคโนโลยี จึงมีหลายๆ เว็บไซต์นำไปเป็นพื้นหลังของเว็บ ในขณะเดียวกันก็ดูอนุรักษ์นิยมด้วย


สีฟ้า ว่ากันว่าสีนี้ควรใส่ไปสัมภาษณ์งาน เพราะช่วยให้บรรยากาศสงบ และดูน่าเชื่อถือ สีเฉดนี้ช่วยลดความรู้สึกวุ่นวาย หากตอนไหนไม่สบายใจ คิดถึงบ้าน ฯลฯ ลองมองท้องฟ้าสดใส จะทำให้ใจปลอดโปร่ง ที่สำคัญสีฟ้ากระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ หากทำงานศิลปะหรืองานที่ต้องใช้ความคิดต่างๆ ลองหาสีฟ้าวางใกล้ๆ อาจช่วยให้สบายใจและมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น


สีม่วง เป็นสีการดูแลและปลอบโยนช่วยให้จิตใจสงบและอดทนต่อความรู้สึกที่โศกเศร้าหรือสูญเสียที่มากระทบจิตใจและประสาท สีม่วงเฉดต่างๆ ยังช่วยสร้างสมดุลของจิตใจให้ฟื้นกลับมาจากภาวะตกต่ำหรือความเศร้าที่ครอบงำอยู่ สีครามจะเป็นสีที่มีพลังมาก เป็นสีที่ไปกระตุ้นสมองให้มีความฮึกเหิมเกิดความคิดสร้างสรรค์และสัญชาตญาณ สีครามเป็นสีที่เข้าไปครอบงำประสาทได้เป็นอย่างดี สีม่วงเป็นสีที่เข้าไปเปลี่ยนแปลงการสื่อสารระดับลึกเข้าไปแทนที่และต่อสู้กับความกลัวและความตกใจเข้าไปชำระล้างสิ่งรบกวนที่อยู่ในสมองซึ่งสีม่วงมัดเข้าไปเชื่อมโยงกับสื่อแขนงอื่นๆ ศิลปะ ดนตรี และความลึกลับเป็นสีที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกด้านสวยงาม ปรัชญาขั้นสูง กระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรร แรงบันดาลใจ ก่อให้เกิดความเห็นอกเห็นใจ สีม่วงยังเป็นสีที่มีอิทธิพลต่อความเชื่อที่ลึกลับทางจิตวิญญาณ  อย่างไรก็ตามคนที่ได้รับอิทธิพลของสีดังกล่าวจะต่อต้านชีวิตและสังคมที่เต็มไปด้วยสีสันแต่จะสนใจเรื่องจิตวิญญาณมากกว่า



สีขาว เป็นสีที่หมายถึงความบริสุทธิ์อย่างยิ่ง จัดอยู่ในกลุ่มของการปกป้อง สร้างสันติ สบาย ช่วยบรรเทาอารมณ์ตกใจหรือหวาดวิตก ส่งเสริมให้จิตใจสะอาดบริสุทธิ์ มีพลังทางความคิดและจิตใจ นอกจากนั้นยังหมายถึงความเยือกเย็นและการแยกหรือปลีกวิเวกก็ได้


สีดำ เป็นสีที่มีความหมายทั้งในแง่ของความสะดวกสบาย การปกป้อง และความลึกลับมักจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับความเงียบสงัด มีความหมายของหนทางอันมีลักษณะอันไกลโพ้น นอกจากนี้ยังหมายถึงพลังชีวิตที่ถดถอยหรืออ่อนล้า หมดพลังและลี้ลับสีดำยังเป็นสีที่ขัดขวางการเจริญเติบโตและการเปลี่ยนแปลง เป็นการปิดปังอำพรางจากโลกภายนอก  


 สีทอง เป็นสีที่จัดอยู่ในกลุ่มอิทธิพลของพระอาทิตย์เช่นเดียวกับสีเหลืองและมักจะเกี่ยวเนื่องกับพลังและความอุดมสมบูรณ์ เป้าหมายสูงสุด ปัญญาอันสูงสุดความเข้าอกเข้าใจ ปกติสีทองหมายถึงการให้ชีวิตใหม่ ให้พลังใหม่ ฉุดรั้งออกมาจากความกลัวความไม่แน่นอนหรือหันกลับมาใส่ใจ สีทองที่วาวแววจะทรงพลังอย่างยิ่งในการดึงให้หลุดพ้นจากความรู้สึกที่ตกต่ำของจิตใจ


สีน้ำตาล เป็นสีของแผ่นดิน สีน้ำตาลให้ความรู้สึกมั่นคง ลดความรู้สึกที่ไม่ปลอดภัยอย่างไรก็ตามสีน้ำตาลมักเกี่ยวข้องกับการเติมเต็มของความรู้สึก บำบัดจากความเศร้าโศกความรู้สึกคับอกคับใจสีนี้มักจะนำไปช่วยเหลือคนที่รู้สึกหมดคุณค่าในตัวเอง



วันนี้ขอพอแค่นี้ก่อนนะ หวังว่าเพื่อนๆ จะได้ความรู้นำไปปรับใช้กับตัวเองกันนะ^_^