ความจำ หมายถึง การเก็บรักษาข้อมูลได้ในระยะเวลาหนึ่ง
เกี่ยวข้องกับการเก็บรักษาข้อมูลในช่วงเวลาที่ผ่านมา อาจเป็นเวลาน้อยกว่า 1 วินาที
หรือยาวตลอดชีวิตก็ได้
การจำไม่ใช่ใช้แค่ “หัว” แต่ต้องใช้
“ร่างกาย” ด้วย
คนมักคิดว่าการจำต้องใช้ “หัว” เพียงอย่างเดียว
แต่ความจริงแล้วการจำทำได้อีกหลายวิธี เช่น จดจำวิธีการขี่จักรยาน
จดจำวิธีการว่ายน้ำ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้จำที่ “หัว” แต่จำด้วยร่างกาย
การจำด้วยร่างกาย จะให้ความสามารถในการเรียนรู้ด้านการเคลื่อนไหว
การจำในลักษณะนี้จะเกี่ยวข้องกับส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหว เช่น
ก้านสมอง สมองส่วนหลัง และเบซัล แกงเกลีย(Basal Ganglia) ซึ่งเป็นประสาทส่วนควบคุมและประสานการเคลื่อนไหวต่างๆ
ของร่างกาย
ในโลกแห่งการจำ สิ่งที่สำคัญคือการทำซ้ำ
โดยทั่วไปคนเราเมื่อพบเจอกับความรู้เดิมหรือประสบการณ์เดิมที่เคยผ่านมาแล้วจะจดจำได้ง่าย
ฉะนั้นเราจึงควรรู้ศาสตร์แขนงอื่นเพื่อจะได้สามารถนำไปเชื่อมโยงกับความรู้ใหม่ได้
หลักสำคัญ 3 ประการในการพัฒนาของความจำ
คือ
พลังการจดจำ(ความสามารถในการบันทึกข้อมูลเอาไว้ในจิตใจได้อย่างถูกต้อง),
พลังการเก็บรักษา(ความสามารถในการเก็บรักษาข้อมูลเอาไว้ภายในจิตใจได้อย่างแจ่มชัด),
พลังการเรียกข้อมูล(ความสามารถในการเรียกข้อมูลออกมาได้อย่างที่ใจต้องการ)
เวลาจำ ตัวตัดสินว่าจะจำได้หรือไม่คือ “เราจะนำข้อมูลมาสร้างเป็นภาพๆ
ได้อย่างไร”
วิธีที่ได้ผลคือ...
การขยายข้อมูลให้เกินจริง
และปล่อยให้จินตนาการทำงานอย่างอิสระและโลดแล่น
ตอนใช้จินตนาการ หากทบทวนภาพเฉพาะตัวสักสามครั้ง
ภาพที่ได้จะแจ่มชัดขึ้น การทบทวนเพียงครั้งเดียวยังมีพลังไม่มากพอ
เราจึงทบทวนถึงสามครั้ง ยกตัวอย่าง เมื่อเราจินตนาการถึงเรื่องราวบางอย่างหรือนึกภาพใครสักคนขึ้นมา
บางครั้งภาพที่เห็นไม่เป็นรูปธรรม ได้เพียงนึกเป็นความรู้สึกกว้างๆ แสดงว่า
เป็นการทำงานของ “สองส่วนควบคุมความรู้สึก”
ตรงกันข้าม เมื่อเราจินตนาการและเห็นภาพหรือการเคลื่อนไหวชัดเจน
นั่นหมายถึง
“สมองส่วนควบคุมรูปทรง” กำลังทำงานอยู่
เมื่อจะสร้างมโนภาพในการจำ ขอให้ตั้งเป้าว่าจะใช้ทั้งความรู้สึกและรูปทรง
ในการจินตนาการ
วิธีวาดรูป เป็นเทคนิคการจำโดยแปลงข้อความเป็นภาพวาด อีกทั้งยังเป็น
การวาดภาพในหัว และเป็นเทคนิคสร้างจินตนาการ ได้ด้วย ขึ้นอยู่กับวิธีการใช้ อธิบายให้เป็นรูปธรรมก็คือ
วิธีการวาดภาพโดยนำตัวอักษรมาเรียงร้อยต่อกัน จัดตำแหน่งคีเวิร์ดเป็นภาพที่ต้องการ
แล้ววาดให้เป็นภาพคน เรื่องราว ภูเขา ต้นไม้ หรือบ้าน
วิธีช่วยการจำอีกอย่างที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีผลต่อความสามารถในการจดจำคือ
การใช้สีสันของปากกา มีบางโฆษณา นำเรื่องสีสันเข้ามาใช้ในด้วยคำโฆษณา “สีช่วยเพิ่มความจำ”
"สีช่วยเพิ่มความจำ" หลายคนคงคุ้นๆ
กับประโยคนี้
และก็มีหลายงานวิจัยที่ออกมาพิสูจน์แล้วว่ามันเป็นจริง!!!
เพราะเจ้าสีสันต่างๆ เหล่านี้ส่งผลต่อการเรียนรู้ รับรู้ของสมองคนเรา
สีสันต่างๆ ทำให้ความคิด การรับรู้ อารมณ์ ของเราเปลี่ยนแปลงได้
สังเกตได้จากคนส่วนใหญ่มักใช้โทนสีเย็น(เช่น สีฟ้า เขียว)
ในการทาสีบ้านเพราะให้ความรู้สึกสบายตา อารมณ์เย็น
สงบกว่าการใช้สีที่กระตุ้นความรู้สึก(เช่น สีแดง ส้ม) ในขณะเดียวกัน
สีสีนของเครื่องเขียนของเรา ก็ทำให้เราสามารถจดจำเรื่องราวต่างๆ
ที่เราขีดเขียนลงบนกระดาษได้ดีขึ้น
ลองใช้ปากกาสีหรือไฮไลท์ สีสันที่เราชอบ
ขีดเขียนไปบนสิ่งที่เราต้องการจดจำ แล้วก็อ่านทำความเข้าใจกับมันซะหน่อย
หรืออาจใช้ร่วมกับวิธีที่แนะนำไว้ด้านบน
จะช่วยให้เราจดจำเรื่องราวได้ดีขึ้นกว่าการใช้ปากกาสีเดียว
ทีนี้มาดูกันว่าแต่ละสีสันให้ความรู้สึกต่อผู้ใช้อย่างไร
และจะช่วยการจำได้อย่างไร
สีแดง แสดงความรู้สึกร้อนแรง
แทนอารมณ์ได้ทั้งความโกรธและความรัก
จากการศึกษาแล้วพบว่าสีนี้กระตุ้นให้หัวใจสูบฉีดเลือดแรงขึ้น ชีพจรจะเต้นเร็ว
แต่เราสามารถหาสิ่งของสีแดง มาวางไว้บนโต๊ะทำงาน
เพราะสีแดงช่วยเพิ่มสมาธิและความจำได้อย่างไม่น่าเชื่อ เจ๋งมากๆ
แต่ก็อย่านำของสีแดงมาใกล้กับสีเขียวและม่วง
เพราะสีขัดแย้งกันมากยิ่งมองแล้วปวดลูกตา
สีชมพู เป็นสีที่มีลักษณะปลอบประโลมให้จิตใจและความรู้สึกต่างๆ
สงบลงในขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกของการมีน้ำใจดี จิตใจกว้างขวาง
อบอุ่นและทะนุถนอม ความรักจึงมักนำสีนี้มาบำบัดหรือบรรเทา
สีเหลือง/สีส้ม แสดงถึงความสุข ความร่าเริงสดใส ความเบิกบาน
ความมีชีวิตชีวา งานเฉลิมฉลองเป็นสีของความแจ่มใส มักจะเกี่ยวข้องกับเชาว์
สติปัญญาข้างในและพลังของความคิดเป็นภูมิและความหยั่งรู้ เป็นความจำที่แจ่มใส ความคิดที่กระจ่างเป็นอารมณ์ของการใช้ความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ
เป็นสีที่กระตุ้นให้เกิดการมองโลกในแง่ดี แต่อยู่สีเดียวไม่ได้ ต้องประกอบกับสีอื่นๆ
ที่เข้มกว่า
แสดงถึงความร่าเริงสดใสเหมือนกันกับสีส้มที่ช่วยลดความรู้สึกหดหู่ได้
เป็นสีที่แสดงถึงความกระฉับกระเฉง ว่ากันว่าเป็นสีที่ใช้เรียกความน่าสนใจได้
สีเขียว แสดงถึงการเจริญเติบโต
การเงิน และสิ่งแวดล้อม ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย
หากโกรธหรือโมโหให้มองหาต้นไม้หรือสีเขียว เพราะจะช่วยให้หายใจได้ลึกขึ้นและช้าลง
เหมือนว่ากำลังจะได้รับพลังอันผ่อนคลายจากธรรมชาติ
แต่บางครั้งหากนำมาเปรียบกับคนก็อาจหมายถึงสุขภาพไม่ดีเหมือนกัน
สีน้ำเงิน ถ้าสีแดงทำให้เลือดสูบฉีดเร็ว
ก็มีสีน้ำเงินนี่แหละที่ทำให้เลือดสูบฉีดช้าลง เยือกเย็น สงบ และซื่อสัตย์
แสดงถึงความทันสมัยของเทคโนโลยี จึงมีหลายๆ เว็บไซต์นำไปเป็นพื้นหลังของเว็บ ในขณะเดียวกันก็ดูอนุรักษ์นิยมด้วย
สีฟ้า ว่ากันว่าสีนี้ควรใส่ไปสัมภาษณ์งาน
เพราะช่วยให้บรรยากาศสงบ และดูน่าเชื่อถือ สีเฉดนี้ช่วยลดความรู้สึกวุ่นวาย
หากตอนไหนไม่สบายใจ คิดถึงบ้าน ฯลฯ ลองมองท้องฟ้าสดใส จะทำให้ใจปลอดโปร่ง
ที่สำคัญสีฟ้ากระตุ้นความคิดสร้างสรรค์
หากทำงานศิลปะหรืองานที่ต้องใช้ความคิดต่างๆ ลองหาสีฟ้าวางใกล้ๆ
อาจช่วยให้สบายใจและมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น
สีม่วง เป็นสีการดูแลและปลอบโยนช่วยให้จิตใจสงบและอดทนต่อความรู้สึกที่โศกเศร้าหรือสูญเสียที่มากระทบจิตใจและประสาท
สีม่วงเฉดต่างๆ ยังช่วยสร้างสมดุลของจิตใจให้ฟื้นกลับมาจากภาวะตกต่ำหรือความเศร้าที่ครอบงำอยู่
สีครามจะเป็นสีที่มีพลังมาก
เป็นสีที่ไปกระตุ้นสมองให้มีความฮึกเหิมเกิดความคิดสร้างสรรค์และสัญชาตญาณ
สีครามเป็นสีที่เข้าไปครอบงำประสาทได้เป็นอย่างดี
สีม่วงเป็นสีที่เข้าไปเปลี่ยนแปลงการสื่อสารระดับลึกเข้าไปแทนที่และต่อสู้กับความกลัวและความตกใจเข้าไปชำระล้างสิ่งรบกวนที่อยู่ในสมองซึ่งสีม่วงมัดเข้าไปเชื่อมโยงกับสื่อแขนงอื่นๆ
ศิลปะ ดนตรี และความลึกลับเป็นสีที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกด้านสวยงาม
ปรัชญาขั้นสูง กระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรร แรงบันดาลใจ ก่อให้เกิดความเห็นอกเห็นใจ สีม่วงยังเป็นสีที่มีอิทธิพลต่อความเชื่อที่ลึกลับทางจิตวิญญาณ อย่างไรก็ตามคนที่ได้รับอิทธิพลของสีดังกล่าวจะต่อต้านชีวิตและสังคมที่เต็มไปด้วยสีสันแต่จะสนใจเรื่องจิตวิญญาณมากกว่า
สีขาว เป็นสีที่หมายถึงความบริสุทธิ์อย่างยิ่ง จัดอยู่ในกลุ่มของการปกป้อง
สร้างสันติ สบาย ช่วยบรรเทาอารมณ์ตกใจหรือหวาดวิตก ส่งเสริมให้จิตใจสะอาดบริสุทธิ์
มีพลังทางความคิดและจิตใจ
นอกจากนั้นยังหมายถึงความเยือกเย็นและการแยกหรือปลีกวิเวกก็ได้
สีดำ เป็นสีที่มีความหมายทั้งในแง่ของความสะดวกสบาย
การปกป้อง และความลึกลับมักจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับความเงียบสงัด
มีความหมายของหนทางอันมีลักษณะอันไกลโพ้น
นอกจากนี้ยังหมายถึงพลังชีวิตที่ถดถอยหรืออ่อนล้า
หมดพลังและลี้ลับสีดำยังเป็นสีที่ขัดขวางการเจริญเติบโตและการเปลี่ยนแปลง
เป็นการปิดปังอำพรางจากโลกภายนอก
สีทอง เป็นสีที่จัดอยู่ในกลุ่มอิทธิพลของพระอาทิตย์เช่นเดียวกับสีเหลืองและมักจะเกี่ยวเนื่องกับพลังและความอุดมสมบูรณ์
เป้าหมายสูงสุด ปัญญาอันสูงสุดความเข้าอกเข้าใจ ปกติสีทองหมายถึงการให้ชีวิตใหม่
ให้พลังใหม่ ฉุดรั้งออกมาจากความกลัวความไม่แน่นอนหรือหันกลับมาใส่ใจ สีทองที่วาวแววจะทรงพลังอย่างยิ่งในการดึงให้หลุดพ้นจากความรู้สึกที่ตกต่ำของจิตใจ
สีน้ำตาล เป็นสีของแผ่นดิน
สีน้ำตาลให้ความรู้สึกมั่นคง
ลดความรู้สึกที่ไม่ปลอดภัยอย่างไรก็ตามสีน้ำตาลมักเกี่ยวข้องกับการเติมเต็มของความรู้สึก
บำบัดจากความเศร้าโศกความรู้สึกคับอกคับใจสีนี้มักจะนำไปช่วยเหลือคนที่รู้สึกหมดคุณค่าในตัวเอง
วันนี้ขอพอแค่นี้ก่อนนะ หวังว่าเพื่อนๆ
จะได้ความรู้นำไปปรับใช้กับตัวเองกันนะ^_^