วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

7 วิธีเพิ่มความฉลาด ลดอาการขี้ลืม


วิธีลดอาการหลงๆ ลืม ๆ และเพิ่มประสิทธิภาพในการจดจำ ให้กับสมอง ผลการวิจัยบอกว่า ยิ่งทำได้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเป็นประโยชน์ต่อสมองของเราเอง
1. บริหารสมองอยู่เสมอ 
ยิ่งเราใช้สมองมาก และบ่อยเท่าไหร่ เซลล์สมองจะยิ่งเจริญเติบโตมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งก็จะส่งผลให้ความสามารถในการจำดีขึ้นตามไปด้วย ส่วนวิธีบริหารสมองนั้น ก็สามารถทำได้หลายอย่าง เช่น การเล่นหมากฮอส ต่อจิ๊กซอว์ หรือ เล่นครอสเวิร์ด ในเวลาว่าง
2. กินยาเสริมความจำ 
มีผลการวิจัยยืนยันว่า หลังจากการกินโสมในปริมาณ 400 มิลลิกรัมไปแล้ว 1 ชั่วโมง จะทำให้ความสามารถในการจำดีขึ้น และส่งผลต่อไปอีกถึง 6 ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังมีการยืนยันว่า แปะก๊วย ก็เป็นอีกสิ่ง ที่ส่งผลดีต่อระบบความจำเหมือนกัน เพราะจะไปช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตในสมอง
ส่วนการศึกษาในอเมริกาพบว่า Vinpocetine ที่สกัดได้จากต้น Periwinkle (ไม้เลื้อยชนิดหนึ่ง ที่มีดอกสีฟ้า ใบเข้มเป็นมัน) นั้น จะช่วยเพิ่มความจำ และความจดจ่อ ในสิ่งที่กำลังทำอยู่ให้มากขึ้นได้
3. กินผักและผลไม้สด 
เป็นที่ทราบกันดีว่า ผัก และผลไม้สดนั้น มีประโยชน์ต่อร่างกายเรามาก ซึ่งก็รวมถึงประโยชน์ต่อความจำของเราด้วย เนื่องจากสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่สูงในผัก และผลไม้สดนั้น มีประสิทธิภาพในการทำลายอนุมูลอิสระ ซึ่งเกิดจากการสะสมเป็นเวลานานของเนื้อเยื่อไขมัน อันจะทำให้สมองอ่อนแอลง และช่วยชะลออาการความจำถดถอยในผู้สูงอายุ ซึ่งผักและผลไม้สด ที่มีสรรพคุณดังกล่าว ก็คือ ผัก ผลไม้ที่มีสีแดง ม่วง และน้ำเงิน โดยเฉพาะตระกูลเบอร์รี่ ต่างๆ ซึ่งจะมีสารต้านอนุมูลอิสระ ชนิดที่มีความเข้มข้นสูงที่เรียกว่า Anthocyanidin อยู่มาก นอกจากนี้ ยังรวมถึง แอปเปิ้ลแดง องุ่นม่วง องุ่นแดง มะเขือเทศ หอมแดง กะหล่ำม่วง มะเขือม่วง ลูกหว้า ข้าวแดง ข้าวนิล ข้าวเหนียวดำ ถั่วแดง ถั่วดำ มันเทศสีม่วง พริกแดง และ เชอร์รี่ ด้วย
4. ลดปริมาณแอลกอฮอล์ 
นอกจากจะเป็นอันตรายต่อตับ และลดความสามารถในการขับขี่ลงแล้ว แอลกอฮอล์ ยังส่งผลต่อการปลดปล่อยสารสำคัญในสมอง โดยจะไปขัดขวางความสามารถ ในการสร้างความจำใหม่ ๆ โดยเฉพาะข้อมูลที่เป็นชื่อ ตัวเลข และเหตุการณ์ณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ยิ่งไปกว่านี้ ความสามารถในการระลึกเหตุการณ์ หรือเรื่องราวเก่า ๆ ในอดีตก็จะถูกบั่นทอนไปด้วย ดังนั้น หากลดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ลง สมองก็จะสามารถสร้างความจำใหม่ๆ ขึ้นมาได้
5. ออกกำลังกาย 
นอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว การออกกำลังกายยังมีส่วนดีต่อระบบสมองอีกด้วย โดยขณะที่ร่างกายของเราเคลื่อนไหวนั้น สมองจะได้รับเลือดมากเป็นพิเศษ ซึ่งนั่นหมายถึงว่า สมองจะได้รับกลูโคส และออกซิเจนมากขึ้น ทำให้สมองแข็งแรงขึ้น นอกจากนี้ การออกกำลังกาย ยังไปเพิ่มประสิทธิภาพ ในการกระตุ้นความจำของสารเคมีในสมอง ที่เรียกว่า Brain-Derived Neurotrophic Factor ให้ทำงานได้ดีขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกายที่หักโหมเกินไป กลับไม่เกิดประโยชน์ต่อระบบความจำ
6. จดบันทึกช่วยจำ 
เพราะโดยธรรมชาติของสมองเรานั้น เมื่อจดจ่ออยู่กับสิ่งใด สิ่งหนึ่ง ตรงหน้า ความสามารถในการจดจำสิ่งอื่น ก็จะลดลง ฉะนั้น การย้ายข้อมูลจากสมอง มาเก็บไว้ในสมุดบันทึก อย่าง คอมพิวเตอร์ ปาล์ม หรือ โทรศัพท์มือถือ ก็เหมือน เป็นการช่วยลดความหนาแน่นของข้อมูล หรือเพิ่มพื้นที่ว่างในสมอง เพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง
7. ทำสมาธิ 
สมองของคนเรานั้น ทำงานที่ความถี่ หรือคลื่นสมอง ที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรากำลังทำ หรือคิดอยู่ ภายใต้ความเครียดที่เกิดขึ้น คลื่นเบต้าของสมอง จะทำงานเร็วขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้สมอง ลืมสิ่งต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ฉะนั้นเราควรคิดให้ช้าลง โดยการทำสมาธิ หลับตาลงช้าๆ หายใจเข้าเบาๆ ช้าๆ โดยตั้งสติอยู่ที่ปลายจมูก จากนั้นหายใจออกช้าๆ โดยตั้งสติ อยู่ที่ช่องจมูกทางขวา จากนั้น หายใจเข้าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ เวลาผ่อนลมหายใจออก ให้ตั้งสติ ที่ช่องจมูกทางซ้าย ทำเช่นนี้สลับกัน ประมาณ 10 นาที ทุกวันรับรองว่าสมองตื้อๆ ตันๆ จะกลับมาโล่ง โปร่งใสเหมือนเดิม



วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Take care the brain

       

        โภชนาการบอกถึงหลักเลือกทานอาหารเพื่อการดูแลสมอง และป้องกันไม่ให้เสื่อมก่อนวัยไว้ 3 ข้อ คือ 1)ต้องทานประเภทต้านอนุมูลอิสระ เพื่อลดปัญหาอนุมูลอิสระทำลายสมอง 2)ต้องทานอาหารที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดเข้าสู่สมอง และ 3) ทานอาหารที่สะอาด ไม่มีการปนเปื้อนสารพิษ สารเคมี หรือ จุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรค
              สมองยังจำเป็นต้องได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนในทุกมื้อ สารอาหารที่สมองต้องการ
คาร์โบไฮเดรต ให้ประโยชน์กับสมองในรูปน้ำตาลกลููโคส เป็นแหล่งพลังงานสำคัญ ควรเลือกทานคาร์โบไฮเดรตในรูปที่ไม่ขัดสี และควรระวังไม่ทานแป้งและน้ำตาลมากเกินไป เพราะส่งผลให้สมองเฉื่อย

โปรตีน จะเป็นสารสื่อระหว่างเซลล์กับเซลล์ การทานโปรตีนจากเนื้อสัตว์แนะเลือกชนิดที่ไม่ติดมัน และในหนึ่งสัปดาห์ควรทานปลาน้ำลึกอย่างน้อย 2-3 ครั้ง เนื่องจากมีโอเมก้า-3 สารบำรุงสมองที่สำคัญ บ้านเรามีปลาทู ปลากะพง ปลาเก๋า เป็นปลาที่มีโอเมกา-3 แต่ก็ควรทานให้หลากชนิด เป็นปลาน้ำเค็มบ้าง น้ำจืดบ้าง เพื่อป้องกันสารพิษตกค้าง และควรทำให้สุกเพื่อป้องกันพยาธิและแบคทีเรียต่างๆ โดยวิธีการปรุงอาหารควรใช้การนึ่ง ต้ม หรือย่าง จะดีกว่าการทอด

ไขมัน มีความสำคัญในการสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ประสาทและเยื่อบุผิวของเนื้อเยื่อสมอง โดยกรดไขมันที่มีความสำคัญต่อการสร้างเซลล์สมอง เยื่อหุ้มประสาทสมอง และการทำงานของร่างกาย ได้แก่ กรดไขมันไม่อิ่มตัว ชื่อโอเมก้า 3, 6 และ 9 ทั้งนี้ควรเลือกทานเฉพาะไขมันหรือน้ำมันที่ไขมันไม่อิ่มตัวสูง เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว และควรหลีกเลี่ยงไขมันอิ่มตัว เช่น ไขมันสัตว์ กะทิ น้ำมันมะพร้าว ไขมันทรานส์ เพราะนอกจากไขมันเหล่านี้จะมีผลต่อสมอง โดยเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดอัลไซเมอร์ถึง 2 เท่าแล้ว ยังส่งผลร้ายกับหัวใจด้วย

วิตามินบี 1 ช่วยบำรุงสมองให้แข็งแรง พบมากในถั่ว งา ข้าวโพด หรืออาหารที่ปรุงจากเมล็ดข้าว เช่น ขนมปังที่ทำจากแป้งไม่ขัดขาวหรือมีธัญพืชผสม พาสตา รวมถึงในข้าวกล้อง ส่วน วิตามินบี 5 ช่วยในการถ่ายทอดสัญญาณประสาทเมื่อถูกกระตุ้น พบในเนื้อวัว สัตว์ปีก ไข่ ปลา ธัญพืช รวมถึงนมสดและผลไม้

วิตามินบี 6 ช่วยในการผลิตสารเคมีในสมอง พบในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ ธัญพืช สำหรับ 

วิตามินบี 12ช่วยในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงให้สมบูรณ์ และบำรุงเนื้อเยื่อประสาท พบได้แต่เฉพาะในเนื้อสัตว์ ปลา สัตว์ปีก และผลิตภัณฑ์จากนมต่างๆ  คนที่ขาดวิตามินบี 12 อาจส่งผลให้เกิดภาวะสมองเสื่อมได้ ผู้ที่ทานมังสวิรัติจึงควรหมั่นตรวจว่ามีวิตามินบี 12 ต่ำหรือไม่ ถ้าต่ำแพทย์อาจสั่งวิตามินเสริม

โคลีน เป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยบำรุงสมอง มีอยู่ในอาหารจำพวกข้าวกล้อง ข้าวโพด ซึ่งมีมากในส่วนที่เป็นจมูกข้าวโพด ในคนที่ชอบทานข้าวโพดฝานตื้นๆ มักจะไม่ได้รับโคลีน ดังนั้นควรใช้มีดฝานลงไปให้ลึกถึงซังข้าวโพดเพื่อให้ได้รับโคลีน นอกจากนี้ โคลีนยังพบได้ในไข่แดง ซึ่งคนที่มีคอเลสเตอรอลในเลือดสูงต้องระวังไม่ทานมากไป

กรดโฟลิก จำเป็นต่อระบบรับรู้อารมณ์ ความรู้สึกในสมอง พบมากในกล้วย ส้ม มะนาว สตรอเบอร์รี แคนตาลูป ผักใบเขียว ถั่วเหลือง ถั่วลิสง หรือถั่วลันเตา และเป็นกรดที่สำคัญมากสำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์ ช่วยในการสื่อสารอารมณ์และความรู้สึกจากแม่ไปสู่ลูก

แมงกานีส เป็นเกลือแร่ที่ช่วยดูแลสุขภาพของสมองและระบบประสาท พบมากในอาหารทะเล โดยเฉพาะหอยนางรม แต่ต้องระวังในเรื่องของคอเลสเตอรอลและแบคทีเรียในกรณีที่รับประทานสด

แมกนีเซียม โพแทสเซียม และแคลเซียม เป็นสารอาหารที่ส่งผลต่อการทำงานของระบบประสาท พบในผักใบเขียวและผลไม้ เช่น กล้วยหอม สับปะรด ทั้งนี้การทาน ผัก ผลไม้จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งจะช่วยชะลอการเสื่อมของสมอง และป้องกันไม่ให้สมองถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ

สารแคปไซซิน มีอยู่ในเม็ดพริก ช่วยทำให้เลือดไหลเวียนผ่านเส้นเลือดขนาดเล็กในสมองได้ดี ควรทานพริกสดมากกว่าพริกป่น เพื่อป้องกันการได้รับเชื้อราอะฟลาทอกซิน และผู้ที่เป็นโรคแผลในกระเพาะอาหารควรระมัดระวัง เพราะพริกอาจทำให้เป็นแผลมากขึ้น

วิตามินซี วิตามินอี และเบตาแคโรทีน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเยื่อสมองจากอนุมูลอิสระที่ทำให้เกิดสมองเสื่อม จึงมีส่วนช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้ สารต้านอนุมูลอิสระนี้พบในผัก ผลไม้ และถั่วต่างๆ ควรทานผักผลไม้สีเข้มๆ ต่างชนิดกันไป

ขมิ้น มีสารเคอร์คูมิน ช่วยต้านการอักเสบและลดการเสื่อมของสมองจากโรคอัลไซเมอร์ มีงานวิจัยที่พบว่า ชาวอินเดียมีอัตราการเป็นโรคอัลไซเมอร์น้อยกว่าประเทศอื่นๆ เนื่องจากใช้ขมิ้นประกอบอาหารกันมาก


เห็นว่าจริงๆแล้ว เพียงเราทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ทานให้หลากหลาย และหลีกเลี่ยงไขมันอันตราย ถือเป็นการดูแลสมอง ให้มีประสิทธิภาพ มีความจำที่ดีอยู่กับเราตลอดไป

วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ผลของสมาธิภาวนากับสมอง

       งานวิจัยวิทยาศาสตร์ทางสมองแสดงให้เห็นว่า โดยการทำภาวนา การฝึกสมาธิ การเจริญสติ ช่วยพัฒนาสมองของเราได้ ซึ่งในเรื่องนี้ ดร.ริค แฮนซัน(Rick Hanson,Ph.D) นักวิทยาศาสตร์ด้านประสาทจิตวิทยา(Neuropsychologist) ได้เขียนไว้ในหนังสือ สมองพุทธะ (Buddha’s Brain) อันโด่งดัง
       


       ในหนังสือเล่มนี้ได้กล่าวว่า การเจริญสติเป็นการใช้การพัฒนาจิตเปลี่ยนสมองและเปลี่ยนชีวิตของเราได้ การฝึกการเจริญสติหรือการทำสมาธิมีผลดังนี้ คือ
       
       1. ทำให้เซลล์สมองและวงจรการเชื่อมต่อในสมองในการทำงานของสมองซีกซ้ายเจริญขึ้น โดยเฉพาะบริเวณด้านหน้าผากซ้าย ซึ่งทำให้เรามีความสุข และอารมณ์ในด้านบวกมากขึ้น
   
       2. ทำให้สารเคมีในสมอง คือ เซโรโทนิน(Serotonin) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาท มีมากขึ้น ทำให้เกิดความผ่อนคลาย นอนหลับง่าย ไม่เกิดอาการซึมเศร้า ถ้าสารตัวนี้ลดน้อยลง จะเกิดโรคซึมเศร้า และนอนหลับยาก
   
       3. ทำให้ระบบประสาทพาราซิมพาเธทิค (Parasympathetic) ทำงานเด่นขึ้น คือทำให้ใจสงบลง ลดความเครียดการเต้นของหัวใจลดลง ความดันโลหิตลดลง การเผาผลาญอาหารในร่างกายลดลง แก่ช้าลง และอายุยืนขึ้น

       
       กล่าวโดยย่อ การฝึกสมาธิหรือการเจริญสติ เป็นการพัฒนาสมอง เปลี่ยนอารมณ์ เปลี่ยนชีวิตของเรา เป็นวิธีการที่นักวิทยาศาสตร์ทางสมองใช้กันอยู่แทนการกินยา เพราะยาลดความกังวล ยาต้านโรคซึมเศร้า ยาเหล่านี้เป็นการแก้ปลายเหตุ ต้องใช้ประจำ อาการข้างเคียงมาก ราคาแพง ซึ่งการรักษาของแพทย์ในปัจจุบันเริ่มเปลี่ยนแปลงไป หลังจากผ่านการทดลองวิจัยมานานกว่า 2 ทศวรรษ

วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

มาฟิตสมองกันเถอะ

        วันนี้อยากนำเสนออาหารของสมอง ที่หลายคนอยากรู้ รวมถึงวิธีปฏิบัติตัวในการพัฒนาอวัยวะที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือ สมอง ของเรานั่นเอง

        “สมอง เหมือนมีด ยิ่งลับยิ่งคม ยิ่งไม่ใช้จะยิ่งทื่อ หากต้องการล็อกความแข็งแรงให้คงประสิทธิภาพยาวนาน ทำได้ง่าย ๆ ด้วยวิธีพัฒนา และดูแลสุขภาพสมอง 4 ขั้นตอน ดังนี้


1. เอ็กเซอร์ไซส์ประจำ ทำสมองแอ็กทีฟ ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ พบว่า การออกกำลังกายสม่ำเสมอ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ส่งผลต่อการเติบโตของเซลล์ประสาทใหม่ ช่วยเชื่อมต่อกันมากขึ้น ทำให้การเรียนรู้ฉับไวตามไปด้วย ทั้งยังลดความเสี่ยงของอาการสมองเสื่อมได้

2. เล่นเกมเสริมสร้างสุขภาพจิต งานวิจัยทางประสาทวิทยาศาสตร์ในต่างประเทศ พบว่า การออกกำลังกายจิตด้วยการเล่นเกมครอสเวิร์ด (ปริศนาอักษรไขว้) เกมซูโดกุ เกมหมากรุก เกมการคำนวณทางคณิตศาสตร์จากระบบคอมพิวเตอร์ จะช่วยเพิ่มการทำงานของสมองด้านรู้คิด และความจำ

3. รับโภชนาการดี จากปลา โดยเฉพาะปลาทู ทูน่า และแซลมอน ซึ่งอุดมไปด้วยโอเมก้า 3 และ DHA ช่วยกระตุ้นเซลล์สมองให้ไวต่อการรับสัญญาณประสาท ทำให้สมองกระฉับกระเฉง รวมทั้งผักใบเขียว เช่น ผักคะน้า ผักโขม เป็นแหล่งของวิตามินอี และโฟเลต ช่วยชะลอปัญหาความจำเสื่อม อัตราการเปลี่ยนแปลงของความจำช้าลง

4. ดับความเครียด ผ่อนคลายทำให้สมอง และประสาทส่วนต่าง ๆ ได้พักผ่อน คลายความตึงเครียด ที่สำคัญควรนอนหลับให้เพียงพอวันละ 6-8 ชั่วโมงด้วย
สมองก็เหมือนส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ที่มักเสื่อมสภาพเมื่ออายุเพิ่ม และส่งผลต่อประสิทธิภาพในกระบวนการคิด ดังนั้น การพัฒนา และดูแลสมองอยู่เสมอ จะช่วยยืดอายุการทำงานไม่ให้เสื่อมก่อนวัยอันควร โดยเริ่มง่าย ๆ ด้วยวิธีข้างต้น ลองนำไปฟิตสมองกันดู


ขอบคุณที่มา : ทีมเดลินิวส์ออนไลน์

วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ทฤษฎีการแก้ปัญหา

          ทฤษฎีการแก้ปัญหาส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากผลงานเรื่องนักแก้ปัญหาทั่วไป (general problem solver) ของ Ernest & Newell (1969) และ Newell & Simon (1972) ซึ่งเป็นทฤษฎีการแก้ปัญหาของมนุษย์ (human problem solving) ในรูปแบบของโปรแกรมที่เป็นสถานการณ์จำลอง ผลงานนี้ช่วยวางรากฐานกระบวนทัศน์เกี่ยวกับการประมวลสารสนเทศสำหรับศึกษาเรื่อง การแก้ปัญหา หลักการของทฤษฎีนี้คือ พฤติกรรมการแก้ปัญหา ประกอบด้วย วิธีการ-ปลายทาง-วิเคราะห์ซึ่งเป็นการนำปัญหามาแตกออกเป็นองค์ประกอบหรือเป้าหมายย่อยๆ แล้วจึงจัดการแก้ไขเป้าหมายย่อยๆ เหล่านั้นทีละเรื่อง แนวคิดนี้ตรงกันข้ามกับ Wertheimer (1959) นักจิตวิทยาในกลุ่มทฤษฎีเกสตอลต์ ซึ่งทำการวิจัยเรื่องการแก้ปัญหา และให้ความสำคัญ ด้านความเข้าใจเรื่องโครงสร้างของปัญหา โดยเชื่อว่าพฤติกรรมการแก้ปัญหา ที่ประสบผลสำเร็จเป็นเพราะบุคคลผู้นั้น สามารถมองเห็นโครงสร้างโดยรวม ทั้งหมดของปัญหา หลักการของทฤษฎีนี้คือ ผู้เรียนจะต้องได้รับการสนับสนุนให้เกิดการค้นพบธรรมชาติของปัญหาหรือประเด็นหัวข้อที่ต้องการแก้ไข สิ่งที่เป็นช่องว่าง ความไม่ลงรอยกัน หรือสิ่งรบกวนต่างๆ เป็นสิ่งเร้าที่สำคัญต่อการเรียนรู้ การเรียนการสอนจะต้องอยู่บนพื้นฐานของกฎองค์กร ประกอบด้วย ความใกล้เคียง การปกปิด ความคล้ายคลึง และความเรียบง่าย
DeBono (1971 และ 1991) เสนอแนวคิดในการแก้ปัญหาโดยประยุกต์ใช้วิธีการคิดแบบนอกกรอบ โดยเชื่อว่าปัญหาส่วนใหญ่ต้องการมุมมองที่แตกต่าง จึงจะแก้ไขได้สำเร็จ วิธีการที่จะทำให้ได้มุมมองที่แตกต่างเกี่ยวกับปัญหาคือ การแยกปัญหาเป็นส่วนๆ แล้วนำกลับมารวมกลุ่มเข้าด้วยกัน ในลักษณะที่แตกต่างไปจากเดิมหรือสุ่มบางส่วนมารวมกัน หลักการนี้เสนอองค์ประกอบ ในการแก้ปัญหา 4 ประการคือ
1) ค้นหาความคิดเด่นๆ ที่เป็นหลักในทำความเข้าใจกับปัญหา 2) ค้นหาวิธีการที่แตกต่างออกไปในการมองปัญหา 3) ปล่อยวางการคิดแบบยึดติด และ 4) ให้โอกาสตนเองในการเปิดรับความคิดอื่นๆ
แนวปฏิบัติพื้นฐานในการแก้ปัญหา
McNamara (1999) กล่าวว่าวิธีการแก้ปัญหามีหลากหลายวิธี ไม่มีวิธีการแก้ปัญหาใดที่จะสามารถแก้ปัญหาทุกเรื่องได้ แต่มีแนวปฏิบัติพื้นฐานที่สามารถนำไปใช้ในการแก้ปัญหาได้ โดยต้องมีการฝึกใช้เสียก่อน เพื่อให้เกิดความคุ้นเคยจนสามารถปฏิบัติได้อย่างเป็นธรรมชาติ ขั้นตอนต่างๆ มีดังนี้
1. ระบุปัญหา ขั้นนี้เป็นขั้นที่คนส่วนใหญ่มักจะสับสน กล่าวคือ จะเริ่มด้วยการคิดว่าสิ่งนั้นเป็นปัญหา แทนที่จะทำความเข้าใจให้ถ่องแท้เสียก่อนว่า ทำไมจึงคิดว่าสิ่งนั้นเป็นปัญหา การระบุปัญหาต้องอาศัยข้อมูลจากตนเองและผู้อื่น ซึ่งได้มาโดยใช้วิธีการตั้งคำถาม อาทิ อะไรคือสิ่งที่เห็นว่า เป็นสาเหตุที่ทำให้คิดว่ามีปัญหาเกิดขึ้น ปัญหาที่ว่านั้นเกิดขึ้นที่ไหน เกิดขึ้นอย่างไร เกิดขึ้นเมื่อใด กำลังเกิดขึ้นกับใคร และทำไมจึงเกิดขึ้น จากนั้นให้เขียนอธิบายว่าสิ่งที่กำลังเกิดในขณะนั้น โดยแท้จริงควรจะเป็นอย่างไร ต้องพยายามอธิบายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขียนอย่างเจาะจง และครอบคลุมประเด็นว่า อะไร ที่ไหน อย่างไร กับใคร และทำไม
1.1 เมื่อถึงจุดนี้ หากปัญหายังดูเหมือนว่าเป็นเรื่องที่มีความซับซ้อน ควรระบุปัญหาให้กระจายออกมาแบบย่อยๆ ลงไปอีก โดยตั้งคำถามซ้ำอย่างเดิม จนกว่าจะได้คำอธิบายสำหรับปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมากพอ
1.2 ทำการตรวจสอบว่าความเข้าใจที่มีต่อปัญหาต่างๆ นั้น มีความถูกต้องเพียงใด โดยการหารือกับสมาชิกในกลุ่มหรือบุคคลอื่น
1.3 นำปัญหาต่างๆ มาจัดความสำคัญ หากพบว่ามีปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกันจำนวนหลายปัญหา ให้พิจารณาว่าปัญหาใดควรจัดการก่อนปัญหาใดจัดการทีหลัง ทั้งนี้ต้องแยกให้ชัดเจนระหว่างปัญหาที่มีความสำคัญกับปัญหาที่เป็นเรื่องฉุกเฉิน เพราะปัญหาที่มีความสำคัญเป็นปัญหาที่ต้องจัดการก่อน
1.4 ทำความเข้าใจกับบทบาทของตนเองในปัญหานั้นให้ถูกต้อง เพราะเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อการรับรู้บทบาทของผู้อื่น ตัวอย่างเช่น เมื่อตนเองเครียดก็อาจมองว่าผู้อื่นเครียดเช่นเดียวกัน ซึ่งความจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้น
2. มองหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา ในขั้นนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับข้อมูลนำเข้าจากบุคคลอื่นซึ่งรับรู้ปัญหาและจากผู้ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหา การเก็บข้อมูลควรทำเป็นรายบุคคลจะได้ข้อมูลมากกว่า ให้จดบันทึกสิ่งที่เป็นความคิดเห็นของตนเองและสิ่งที่ได้ยินมาจากผู้อื่น จากนั้นเขียนอธิบายสาเหตุของปัญหาในลักษณะที่ว่า อะไรกำลังเกิดขึ้น เกิดขึ้นที่ไหน เมื่อใด อย่างไร กับใคร และทำไม
3. แจกแจงทางเลือกต่างๆ สำหรับวิธีการที่จะใช้แก้ปัญหา ในขั้นนี้ควรให้บุคคลอื่นเข้ามามีส่วนร่วม ยกเว้นในกรณีที่ปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องส่วนตัว ให้ระดมสมองเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาเพื่อให้ได้ทางเลือกหลายๆ ทาง แล้วนำมาคัดกรองเพื่อหาแนวคิดที่ดีที่สุด การได้มาซึ่งความคิดที่หลากหลายนั้น ต้องระวังที่จะไม่ตัดสินว่าความคิดเหล่านั้นดีหรือไม่ดี ให้จดบันทึกตามที่ได้ยินมาเท่านั้น ทักษะที่เหมาะสมที่สุดในการจำแนกสาเหตุของปัญหาคือการคิดเชิงระบบ (systems thinking)
4. เลือกวิธีการแก้ปัญหา ในการคัดเลือกวิธีที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหา ควรพิจารณาดังนี้
4.1 วิธีการใดที่สามารถแก้ปัญหาได้ในระยะยาว
4.2 วิธีการใดที่มีความเป็นจริงมากที่สุดในการแก้ปัญหาได้สำเร็จ ในขณะนี้มีทรัพยากรสำหรับการแก้ปัญหาหรือไม่ จะจัดหามาใช้ได้หรือไม่ มีเวลาเพียงพอที่จะใช้วิธีการนี้หรือไม่
4.3 อะไรคือความเสี่ยงของทางเลือกแต่ละวิธี
5. วางแผนนำทางเลือกในการแก้ปัญหาที่เป็นวิธีที่ดีที่สุดไปปฏิบัติ หรือจัดทำแผนปฏิบัติการ ซึ่งในขั้นนี้มีสิ่งที่ต้องพิจารณาคือ
5.1 สถานการณ์จะเป็นอย่างไรเมื่อปัญหาได้รับการแก้ไขแล้ว
5.2 มีขั้นตอนอะไรที่จะต้องทำในการนำทางเลือกที่ดีที่สุดไปแก้ปัญหา มีระบบหรือกระบวนการอะไรที่จะต้องเปลี่ยนแปลงบ้าง
5.3 จะรู้ได้อย่างไรว่าขั้นตอนต่างๆ มีการปฏิบัติ ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ความสำเร็จของแผน
5.4 ทรัพยากรอะไรบ้างที่ต้องการ ในประเด็นของบคุลากร เงิน และสิ่งอำนวยความสะดวก
5.5 ต้องใช้เวลานานเท่าใดในการนำวิธีการแก้ปัญหาไปปฏิบัติ ให้เขียนตารางที่แสดงเวลาตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุด และเวลาที่คาดหวังว่าจะเห็นตัวบ่งชี้ความสำเร็จปรากฏขึ้น
5.6 ใครคือผู้รับผิดชอบในการควบคุมดูแลการปฏิบัติตามแผน
5.7 เขียนคำตอบสำหรับคำถามที่กล่าวมาแล้ว และให้ถือว่านี่คือแผนปฏิบัติการ
5.8 สื่อสารทำความเข้าใจแผนนี้กับบุคคลที่เกี่ยวข้องในการนำแผนไปปฏิบัติ ปัจจัยสำคัญของขั้นตอนนี้คือ การสังเกตและการให้ข้อมูลย้อนกลับอย่างต่อเนื่อง
6. ดูแลควบคุมการปฏิบัติตามแผน โดยพิจารณาจากตัวบ่งชี้ความสำเร็จ ซึ่งได้แก่
6.1 เห็นสิ่งที่คาดหวังว่าจะเกิดขึ้นตามตัวบ่งชี้หรือไม่
6.2 แผนมีการดำเนินงานตามตารางที่กำหนดไว้หรือไม่
6.3 ถ้าแผนไม่ได้ดำเนินไปตามที่คาดหวังไว้ ให้พิจารณาว่า แผนมีความเป็นไปได้จริงหรือไม่ มีทรัพยากรเพียงพอที่จะทำให้แผนสำเร็จตามกำหนดการ หรือไม่ ควรมีสิ่งอื่นที่ต้องทำก่อนสิ่งที่กำหนดไว้แต่เดิมในแผนหรือไม่ ควรเปลี่ยนแผนหรือไม่
7. ตรวจสอบว่าปัญหาได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้วหรือไม่ ในขั้นนี้ วิธีหนึ่งที่ดีที่สุดในการตรวจสอบว่าปัญหาได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้วหรือไม่ คือการกลับคืนสู่การปฏิบัติงามตามปกติ แล้วสังเกตสถานการณ์ นอกจากนั้นมีประเด็นที่ควรพิจารณาเพิ่มเติมดังนี้
7.1 ควรมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้นอีก
7.2 อะไรคือบทเรียนที่ได้จากการแก้ปัญหาครั้งนี้ ในเชิงความรู้ ความเข้าใจ และ/หรือทักษะ
7.3 ควรมีการเขียนบันทึกสั้นๆ ถึงเหตุการณ์เด่น ที่เป็นความสำเร็จในการพยายามแก้ปัญหา และสิ่งที่เป็นผลลัพธ์ที่ได้เรียนรู้ แล้วนำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับ ผู้เกี่ยวข้อง
แนวปฏิบัติพื้นฐานนี้ มีการพัฒนาเป็นรูปแบบการแก้ปัญหาทั่วไป (general problem solving model) เพื่อใช้แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในเครือข่ายอินเตอร์เนต ซึ่งดำเนินงานให้บริการโดยบริษัท Cisco Systems (2002) ประกอบด้วย 7 ขั้นตอนคือ
1.             ระบุปัญหาในลักษณะของกลุ่มอาการผิดปกติหรือสิ่งที่น่าจะเป็นสาเหตุของความผิดปกติ
2.             รวบรวมข้อเท็จจริงที่จำเป็นสำหรับการคัดแยกสิ่งที่เป็นสาเหตุที่แท้จริงออกมา
3.             พิจารณาหาความเป็นไปได้ของการเกิดปัญหาโดยตัดทอนปัญหาที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปจากข้อเท็จจริงในรายการที่รวบรวมไว้
4.             สร้างแผนปฏิบัติการจากปัญหาที่เหลืออยู่ โดยวางแผนจัดการกับปัญหาเพียงครั้งละตัวแปรเดียว
5.             นำแผนไปปฏิบัติ ทีละขั้นตอนอย่างระมัดระวัง พร้อมทั้งตรวจสอบเป็นระยะๆ ว่าอาการผิดปกติหายไปหรือไม่
6.             เมื่อเปลี่ยนตัวแปรที่ทำการแก้ไข ให้เก็บผลลัพธ์ของแต่ละครั้ง เพื่อคัดแยกว่าสิ่งใดที่เป็นและไม่เป็นปัญหา
7.             วิเคราะห์ผลเพื่อตรวจสอบว่าปัญหาได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้วหรือไม่ ถ้าใช่ก็แสดงว่าประบวนการแก้ไขสำเร็จเรียบร้อยแล้ว
เอกสารอ้างอิง
Cisco Systems. (2002). Troubleshooting overview. Available HTTP: http//www.cisco.com/ univercd/cc/td/doc/cisintwk/itg_v1/tr1901.htm
DeBono, E. (1971). Lateral thinking for management. New York: McGraw-Hill
------------. (1991). Teaching thinking. London: Penquin Books
Ernest, G., & Newell, A. (1969). GPS: A case study in generality and problem solving. New York: Academic Press.
McNamara, C. (1999). Basic guidelines to problem solving and decision making. Available HTTP: http//www.authenticityconsulting.com
Newell, A., & Simon. H. A. (1972). Human problem solving. Englewood Cliffs, NJ: Prentice-Hall.
Wertheimer, M. (1959). Productive thinking (Enlarged ed.). New York: Harper & Row.

โดย ดร.รสสุคนธ์ มกรมณี


วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

แก้ปัญหา

         ในการทำงาน สิ่งที่ผู้บริหารหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ การเผชิญกับปัญหาที่ต้องตัดสินใจแก้ไข จุดบอดของการแก้ปัญหาคือ การที่มองปัญหาไม่รอบคอบ ค้นหาปัญหาไม่เจอ รีบตัดสินใจแก้ไปด้วยสำนึกที่มีอยู่ส่งผลให้ผิดพลาดได้และต้องมาแก้ปัญหาใหม่ที่เกิดขึ้นอีกต่อไปไม่สิ้นสุด ดังนั้น กระบวนการแก้ปัญหาจึงจำเป็นต้องอาศัยมุมมองที่ละเอียด รอบคอบและอิงอยู่บนหลักการด้วยกระบวนการแก้ปัญหาและตัดสินใจประกอบด้วย1. การวิเคราะห์และระบุปัญหาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ปัญหาอาจมองเห็นได้ชัดและไม่ชัดเจน การพิจารณาให้มองว่าอะไร ต้องแก้ไข หรือ ควรจะแก้ไข มากน้อย แค่ไหนนั่นคือสิ่งที่ต้องจัดการ หากเปรียบเทียบกับ อริยสัจ 4” ก็คือ อะไร คือ ทุกข์ซึ่งหมายถึงปัญหานั่นเอง2. การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องในขั้นนี้ต้องอาศัยการรวบรวมข้อเท็จจริงให้ได้มากที่สุดเพื่อนำมาค้นหาสาเหตุของปัญหา ซึ่งก็คือ สมุทัยในความหมายของอริยสัจการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการแก้ปัญหาใดๆคือการรวบรวมข้อมูลที่ครบถ้วนสมบูรณ์ บางคนพอ เห็นปัญหาก็สรุปเลย แบบ Jump conclusion โดยไม่มีการวิเคราะห์ข้อมูลให้ถี่ถ้วน ส่งผลให้เกิดปัญหาใหม่อีกไม่สิ้นสุด ข้อมูลที่สมบูรณ์หมายถึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ตามความเป็นจริง เรียกว่า ภาวะวิสัย” (Objective evidence) ไม่ใช่จากการปรุงแต่งใส่ไข่ด้วยอารมณ์ซึ่งมักพบบ่อยๆเรียกว่า สักวิสัย”(Subjective evidence)
ตามความเป็นจริง เรียกว่า ภาวะวิสัย” (Objective evidence) ไม่ใช่จากการปรุงแต่งใส่ไข่ด้วยอารมณ์ซึ่งมักพบบ่อยๆเรียกว่า สักวิสัย”(Subjective evidence)ตามความเป็นจริง เรียกว่า ภาวะวิสัย” (Objective evidence) ไม่ใช่จากการปรุงแต่งใส่ไข่ด้วยอารมณ์ซึ่งมักพบบ่อยๆเรียกว่า สักวิสัย”(Subjective evidence)การวิเคราะห์ข้อมูลนำข้อมูลทั้งหมดมาแยกเป็นประเด็น โดยวิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในมุมมองของ รูปธรรม คือสิ่งที่สัมผัสได้หรือ อาการ”(Symptoms) และนามธรรม คือปัจจัยที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังที่ไม่ได้ปรากฏให้เราได้เห็น หรือ ต้นเหตุ”( Cause) ซึ่งทุกปัญหาที่เกิดขึ้นล้วนมาจากความไม่เป็นไปตามที่ควรเป็น หรือความต้องการของมนุษย์การค้นหาเหตุของปัญหาการทบทวน อาการและ ต้นเหตุว่าสอดคล้องกันหรือไม่ โดยมองหลายๆมุมที่เป็นไปได้ ขั้นตอนนี้ ควรทำในรูปแบบระดมสมอง เพื่อให้ได้ทุมมองที่หลากหลาย และการระบุปัญหาที่ สามารถครอบคลุม การแก้ไขให้เบ็ดเสร็จการสรุปประเด็นของปัญหาและสาเหตุที่แท้จริงเมื่อระบุปัญหาได้แล้ว นำมารวบรวมเป็นประเด็นต่างๆที่เกี่ยวข้อง ในขั้นตอนนี้เราจะเริ่มมองเห็น แนวทางในการแก้ปัญหาได้แล้ว1. การพัฒนาทางเลือกได้แก่การมองหาแนวทางที่จะแก้ปัญหา ก็คือ นิโรธของอริยสัจ นั่นเอง สร้างทางเลือกหลายๆทาง เอาประเด็นปัญหาที่เป็นไปได้ทั้งหมดมา หาคำตอบ และระดมแนวทางแก้ปัญหาโดยสร้างคำตอบออกมา หลายๆแนวทางที่เป็นไปได้ โดยการสร้าง Decision treeเพื่อให้เห็นหลายๆแนวทางแล้วเลือก แนวทาง ที่ดีที่สุด2.การประเมินทางเลือกเปรียบได้กับ มรรคหนทางแห่งการดับทุกข์ หรือ ปัญหา ในอริยสัจ ทบทวนทางเลือก วิเคราะห์ ความเสี่ยงนำแต่ละคำตอบมาวิเคราะห์ความเสี่ยง ที่มีความเป็นไปได้ที่อาจเบี่ยงเบนผลลัพธ์3. เลือกวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดทำการเลือกวิธีแก้ปัญหาที่ให้ผลดีและครอบคลุมการแก้ปัญหามากที่สุด กำหนดผู้รับผิดชอบ ขั้นตอนทรัพยากรที่ใช้4. วิเคราะห์ผลที่ตามมาของการตัดสินใจโดยทำแบบทดสอบเหมือนจริง( Simulation)5. การดำเนินการของการตัดสินใจปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจ 1. การรับรู้ภาพพจน์ (Stereotyping)คือการรับรู้และมีความโน้มเอียงในการยอมรับภาพพจน์ของบุคคล ทำให้มีผลต่อการตัดสินใจ (BIAS) ทั้งด้านบวก และด้านลบ2. การรับรู้ในทางบวก(Halo Effect) คือการรับรู้ในด้านบวกหรือด้านลบของบุคคลใดบุคคลหนึ่งมานาน แล้วยอมให้คุณลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง มาบดบังอีกคุณลักษณะหนึ่ง เช่น ทำดีมาทั้งปี พอทำผิด มีข้อบกพร่องก็มองข้ามไม่นำมาเป็นปัจจัยการตัดสินใจ หรือตรงกันข้าม ทำไม่ดีมาทั้งปี ทำดีแค่สามเดือน ก่อนประเมินผู้ประเมินมองแต่ความดี ไม่เอาสิ่งไม่ดีมาเป็นปัจจัยในการประเมินทฤษฎีเกม (Game Theory) กับการตัดสินใจทฤษฎีนี้พยายามจะคาดคะเนว่าบุคคลมีเหตุผลอย่างไรที่จะตัดสินใจภายใต้สถานการณ์ของการแข่งขันหรือ เพื่อการอยู่รอดบนความสญเสีย ผลประโยชน์น้อยที่สุด เป็นทฤษฎีที่ DR. NASH ได้รับรางวัลโนเบิลไพรซ์ และถูกนำมาประยุกต์กับ เศรษฐศาสตร์ การทหาร การแข่งขันในธุรกิจทั่วไปทฤษฎีนี้กล่าวถึงการตัดสินใจของบุคคลภายใต้สถานการณ์ที่แข่งขันชิงดี และบีบขั้นโดยที่ไม่ทราบความคิดของอีกฝ่ายหนึ่ง แต่ต้องอาศัยพิจารณาถึง เงื่อนไขที่กำหนดผลลัพธ์ในแต่ละสถานการที่ต้องตัดสินใจ ดังนั้น ต่างฝ่ายต่างต้องเลือกทางที่สูญเสียน้อยที่สุด ซึ่งอาจไม่ใช่หนทางที่ได้ประโยชน์สูงสุด ก็ได้ เช่นเกมนักโทษ (Prisoner dilemma)
นักโทษสองคนร่วมทำผิดถูกจับแยกขัง เงื่อนไขการตัดสินคือ1. ถ้าคนใดรับสารภาพและปรักปรำอีกคน เขาจะได้ลดโทษ 2. ถ้าคนหนึ่งสารภาพ อีกคนปฏิเสธ คนสารภาพจะได้อิสระ คนปฏิเสธจะได้รับโทษสูงสุด 3. ถ้าทั้งสองคนสารภาพ จะได้ลดโทษแต่ไม่ได้ปล่อยอิสระ 4. ถ้าทั้งสองปฏิเสธ แต่ละคนจะได้รับโทษน้อยที่สุดเพราะขาดหลักฐานภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ถ้าทั้งคู่ร่วมมือสัญญากันหนักแน่น น่าจะเลือกปฏิเสธทั้งคู่ แต่ว่าถ้าอีกฝ่ายเกิดสารภาพตนก็จะได้รับโทษสูงสุด ปัญหาอยู่ที่ว่า จะไว้ใจอีกคนได้อย่างไร ?”ทำให้ข้อที่4 ซึ่งดีที่สุด ก็ไม่มีใครเลือก และมักไปเลือกข้อที่ 3 ซึ่งเป็นลักษณะของ Win-Win ในยุคสงครามเย็นระหว่างรัสเซีย
และอเมริกาก็เช่นกัน มีการสะสมอาวุธนิวเคลีย กันโดยการขู่กันไปมา หากใครใช้ก่อนก็จะตอบโต้ทันที ความเสียหายก็จะเกิดขึ้นทั้งสองฝ่าย อย่างเลี่ยงไม่ได้ ในที่สุด ทั้งคู่ก็เลือกวิธีลดอาวุธทั้งคู่
และอเมริกาก็เช่นกัน มีการสะสมอาวุธนิวเคลีย กันโดยการขู่กันไปมา หากใครใช้ก่อนก็จะตอบโต้ทันที ความเสียหายก็จะเกิดขึ้นทั้งสองฝ่าย อย่างเลี่ยงไม่ได้ ในที่สุด ทั้งคู่ก็เลือกวิธีลดอาวุธทั้งคู่และอเมริกาก็เช่นกัน มีการสะสมอาวุธนิวเคลีย กันโดยการขู่กันไปมา หากใครใช้ก่อนก็จะตอบโต้ทันที ความเสียหายก็จะเกิดขึ้นทั้งสองฝ่าย อย่างเลี่ยงไม่ได้ ในที่สุด ทั้งคู่ก็เลือกวิธีลดอาวุธทั้งคู่

วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สมองอัจฉริยะ



         เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ภาพถ่ายสมองของไอน์สไตน์ที่ไม่เคยมีการตีพิมพ์เผยแพร่ที่ไหนมาก่อนทั้งหมดได้รับการตรวจวิเคราะห์ทั้งนี้แซนดรา วิทเทลสัน นักประสาทวิทยาชื่อดังจากสำนักการแพทย์ ไมเคิล จี. เดอกรูท ในสังกัดมหาวิทยาลัยแมคมาสเตอร์ ในแคว้นออนทาริโอ ทางตะวันออกของแคนาดา ยืนยันว่า ในทางวิชาการ มีความเชื่อมโยงกันมากอย่างยิ่งระหว่างสภาพทางกายภาพของสมอง กับศักยภาพเชิงปัญญาของผู้เป็นเจ้าของ ซึ่งเท่ากับว่า การตรวจสอบสมองของไอน์สไตน์ ไม่เพียงช่วยไขข้อกังขาดังกล่าวแล้วยังจะอำนวยความรู้ทรงคุณค่าในเชิงวิทยาศาสตร์อีกด้วย

         ตอนที่ไอน์สไตน์เสียชีวิตลงใหม่ๆไม่กี่ชั่วโมงของวันที่ 18 เมษายน 1955 โธมัส ฮาร์วีย์ พยาธิแพทย์ ประจำโรงพยาบาลพรินซ์ตัน จัดการผ่าเอาสมองของเขาออกมาเก็บไว้โดยไม่ได้ขอ และไม่ได้รับอนุญาตจากญาติ เมื่อผ่าออกมาแล้ว ฮาร์วีย์ถ่ายภาพของสมองเอาไว้เป็นจำนวนหลายสิบภาพ หลังจากนั้นก็ตัดแบ่งก้อนสมองออกเป็นส่วนๆ รวม 240 ส่วน เพื่อให้ง่ายต่อการดองเก็บรักษาเอาไว้

         ฮันส์ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ บุตรชายของไอน์สไตน์ได้แต่จำเป็นต้องให้ความเห็นชอบหลังจากมีการผ่าแล้ว ภายใต้ข้อแม้ที่ว่า สมองดังกล่าวจะต้องใช้เพื่อการค้นคว้าวิจัยและตีพิมพ์เผยแพร่ในจุลสารวิชาการเท่านั้น

         แต่ฮาร์วีย์กลับเก็บสมองของไอน์สไตน์ไว้เป็นของตนเองยอมแลกแม้กับการต้องถูกไล่ออกจากงานในเวลาต่อมาท่ามกลางเสียงเรียกร้องของนักวิทยาศาสตร์และนักศึกษาวิจัยเป็นจำนวนมากที่ต้องการศึกษาสมองพิเศษก้อนนั้น จนในที่สุด ฮาร์วีย์ก็ยินยอมแจกจ่ายชิ้นส่วนของสมองออกไปบ้างเป็นครั้งคราว อย่างเช่นให้กับ มาเรียน ไดมอนด์ นักประสาทวิทยาของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์คเลย์ ในปี 1985 และ แซนดร้า วิทเทลสัน ในปี 1995 เป็นต้น

         ฮาร์วีย์และวิทเทลสัน ร่วมกันศึกษาสมองของไอน์สไตน์มาด้วยกันอยู่ระยะหนึ่ง ในปี 1999 ทั้งสองเผยแพร่การค้นพบที่ว่า สมองในส่วน "แพรีทัล โหลบ" ของไอน์สไตน์นั้นแตกต่างไปจากของคนทั่วไปเพราะกว้างกว่าปกติ สมองส่วนตัวกล่าวเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในเชิงคณิตศาสตร์ วิสัยทัศน์ และจินตภาพพิเศษ นอกจากนั้นยังไม่มีร่องที่ปกติมักมีอยู่ในสมองส่วนดังกล่าว ซึ่งเชื่อกันว่า ทำให้มีการเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาทของสมองมากกว่าปกติด้วย

         นักวิทยาศาสตร์อื่นๆ ใช้วิธีการศึกษาจากภาพถ่ายเท่าที่หลุดเล็ดลอดออกมาตีพิมพ์ได้ ในปี 2009ดีน ฟอล์ค นักมานุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐฟลอริดา ในทัลลาฮัสซี ตั้งข้อสังเกตเช่นกันว่ารูปแบบของแพรีทัล โหลบ และโครงสร้างของรอยหยักในสมองของไอน์สไตน์ คล้ายๆ ของนักเล่นดนตรีประเภทเครื่องสาย ที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในเชิงดนตรีแต่ก็ยอมรับว่าการศึกษามีข้อจำกัดเพราะพิเคราะห์จากภาพถ่ายเพียงไม่กี่ภาพเท่านั้น

        ฮาร์วีย์ เสียชีวิตลงเมื่อปี 2007 ต่อมาในปี 2010 ทายาทมรดกของเขายกภาพสไลด์และภาพถ่ายทั้งหมดให้กับพิพิธภัณฑ์การแพทย์และสุขภาพแห่งชาติ ที่ซิลเวอร์สปริง ในรัฐแมรี่แลนด์ เป็นที่มาของการได้ศึกษาและตรวจสอบสมองของไอน์สไตน์อย่างเต็มที่ในครั้งนี้

        ฟอล์คและเพื่อนร่วมงานใช้ภาพสมองของไอน์สไตน์14ภาพแรก ที่วิเคราะห์ไปเปรียบเทียบกับสมองของคนทั่วไปอีก 85 คน และสรุปเอาไว้ว่า สมองของไอน์สไตน์ แตกต่างไปจากสมองโดยเฉลี่ยของคนทั่้วๆ ไปในหลายๆ ส่วนของสมอง มีความซับซ้อนและขรุขระมากกว่าสมองทั่วๆ ไป ที่เชื่อว่าเกี่ยวเนื่องกับเซลล์ประสาทของอัจฉริยะผู้นี้อีกด้วย

วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สมองฝึกได้

ถึงเวลาฝึกความจำ

สมองฝึกได้ 
ถ้าจู่ๆ สมองคุณเกิดไม่จดจำสิ่งที่ต้องจำขึ้นมา ไม่ต้องตกใจเพราะยอด อัจฉริยะอย่าง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์(ค.ศ.1789-1955) รู้มานานแล้วว่าสมองของ คนเรานั้นมีรูบแบการทำงานเหมือนกล้ามเนื้อทั่วไป  ดังนั้นเราจึงสามารถฝึก สมองได้เหมือนกับการฝึกกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ ข้อเท็จจริงนี้ได้รับการยืนยัน แล้วจากผลการวิจัยหลายครั้งตลอดช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา 

1. จิบน้ำบ่อยๆ สมองประกอบด้วยน้ำ 85 เปอร์เซ็นต์
เซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เซลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ

2. กินไขมันดี คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน 
ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่างปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดีที่ทำให้เซลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที 

เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน)

4. ใส่ความตั้งใจ

การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ 

ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอนเดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและ หวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน
สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา ฯลฯเพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอนเดอร์ฟินและโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความติดสร้างสรรค์ 


7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน
ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเองเป็นการลดภาระของสมอง

8. เขียนบันทึก Graceful Journal ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ
ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข ฯลฯ เพราะการเขียนเรื่องดีๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9. ฝึกหายใจลึกๆ
สมองใช้ออกซิเจน 20-25 เปอร์เซ็นต์ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 เปอร์เซ็นต์