วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วิธีใช้สมองอย่างมีประสิทธิภาพ

วิธีใช้สมองอย่างมีประสิทธิภาพ

                สมอง...คืออาวุธที่สำคัญที่สุดในการเรียนหนังสือ แต่สมองซึ่งเปรียบเหมือนอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ เมื่อใช้มากเกินไป หรือ ใช้ไม่ถูกวิธี จะทำให้ไม่สามารถแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น ในการจะเรียนหนังสือให้ประสบความสำเร็จ การฝึกใช้สมองให้มีประสิทธิภาพย่อมเป็นสิ่งจำเป็น  
                1. คิดแบบเด็ก – สมองของเด็กเป็นสมองที่มีประสิทธิภาพที่สุด เพราะเด็กๆ จะมีจินตนาการ คิดแบบมีสีสัน ซึ่งเป็นเรื่องง่ายๆ ที่เมื่อคนเราโตขึ้นมักจะลืมไป เรามัวแต่คิดแบบผู้ใหญ่มากเกินไป ทำให้ชีวิตต้องตกอยู่ภายใต้ความเครียด และนี่เองเป็นสาเหตุของการที่สมองไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                2. จัดโต๊ะให้สะอาดอยู่เสมอ – โต๊ะเรียนที่รกรุงรังไม่ใช่บรรยากาศอันเหมาะสมสำหรับการเรียนเลย ควรจะจัดเอกสารและหนังสือต่างๆ เข้าแฟ้มให้เป็นระเบียบเรียบร้อย โดยแยกวิชาให้ชัดเจน จะช่วยให้สมองแล่นปรู๊ดได้ดีขึ้น

                3. ผ่อนคลาย – อย่าจริงจังกับชีวิตจนเกินไป

                4. ใช้เวลาทบทวนบทเรียนที่เหมาะสม – สำหรับใครที่กำลังเรียนอยู่ ช่วงเวลาที่เพิ่งกลับจากโรงเรียนเป็นช่วงที่สมองยังคงทำงานได้ดี ดังนั้น ทันทีที่กลับถึงบ้าน ควรจะอ่านหนังสือทบทวนโดยทันที

                5. ตั้งใจเรียน – ไม่ว่าคุณจะเป็นคนอย่างไร มีบุคลิกน่าคบหาแค่ไหน แต่การประสบความสำเร็จในการเรียน เริ่มต้นจากการตั้งใจฟังสิ่งที่ครูสอนในห้องเรียน

                6. บันทึกสิ่งที่ไม่เข้าใจ – เมื่อใดก็ตามที่รู้สึกว่าเรียนเรื่องไหนไม่เข้าใจ พยายามค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมจากอินเทอร์เน็ตหรืออ่านหนังสือเรียนในเรื่องนั้นให้มาก และควรจดเนื้อหาเหล่านั้นในแบบคำพูดของตนเองเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ วิธีนี้จะช่วยได้เยอะทีเดียว

                7. ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย – ทุกครั้งที่ต้องประสบพบเจอเนื้อหาที่ยากแก่การเข้าใจ ต้องเปลี่ยนเนื้อหาเหล่านั้นให้เป็นข้อมูลที่ง่ายขึ้น โดยอาจจะใช้การยกตัวอย่างที่ใกล้ตัวคุณ และจดจำสิ่งนั้น จะช่วยให้เรียนหนังสือได้อย่างเข้าใจมากขึ้น

                8. ขยันทำการบ้าน – การทำการบ้านเปรียบเหมือนการอ่านหนังสือทบทวนบทเรียนไปในตัว ดังนั้น เวลาเรียนจึงต้องจดเนื้อหาสิ่งที่ครูสอนด้วยภาษาง่ายๆ ที่เราเข้าใจ และใช้สิ่งที่เราจดนั้นประกอบกับเนื้อหาในหนังสือเรียนระหว่างการทำการบ้านด้วย

                9. อ่านชีทเสริมบทเรียน – ครูหลายท่านชอบที่จะแจกชีทเสริมบทเรียน ซึ่งการอ่านชีทเสริมบทเรียนเหล่านี้จะช่วยให้เข้าใจเนื้อหาในหนังสือเรียนดีขึ้น

                10. หาตัวอย่างจากสิ่งรอบตัว – เนื้อหาบทเรียนในบางวิชา จะเข้าใจได้ยาก เพราะเราไม่เคยมีประสบการณ์ตรง ดังนั้นต้องพยายามมองหาสิ่งที่จะทำให้เราเข้าใจได้ดีขึ้นจากสิ่งของรอบๆ ตัว 

                11. ใส่ใจกับวิชาที่เรียน – การใส่ใจ คือ การเปิดใจรับความรู้ใหม่ๆ หรือแม้กระทั่งสิ่งที่เราอาจจะรู้มาก่อนแล้วก็ตาม เรื่องใดก็ตามที่เรายังไม่รู้ ควรจะจดบันทึกไว้และพยายามตื่นตาตื่นใจกับมันให้มากที่สุด จะช่วยให้เราจดจำสิ่งเหล่านั้นได้ดีขึ้น

                12. สบายๆ กับการสอบ – เมื่อถึงเวลาสอบ อย่าอ่านหนังสืออย่างบ้าคลั่ง แต่ควรจะผ่อนคลายและทำตัวให้สบายๆ เพราะการสอบไม่ใช่จุดจบของโลกใบนี้เสียหน่อย

                13. เรียนบ้าง พักบ้าง – ไม่ควรใช้เวลาเรียน หรืออ่านหนังสือเรียน นานกว่า 45 นาทีต่อวิชา เพราะจะทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าและขาดความสนใจในเนื้อหาที่กำลังเรียนเท่าที่ควร ดังนั้นทุกๆ 45 นาที ควรจะหยุดพักประมาณ 15 นาที ก่อนเริ่มเรียนหรืออ่านหนังสือต่อไป


วันพุธที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2556

คุณสมบัติของสมองที่สร้างสรรค์

คุณสมบัติของสมองที่สร้างสรรค์



1.    สงสัยใคร่รู้อยู่เสมอ สมองทุกสมองถูกสร้างมาเพื่อเรียนรู้ หากสมองถูกกระตุ้นด้วยสิ่งที่สมองสนใจ และมีความหมายต่อตนเอง สมองจะกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ และค้นหาคำตอบสิ่งที่ต้องการรู้อยู่ตลอดเวลา
2.    ชอบความท้าทาย ข้อมูลที่กระตุ้นให้สมองสนใจจะต้องมีความท้าทายในระดับที่สมองพอใจ เพราะสมองชอบความสำเร็จ ปัญหาที่ง่ายเกินไปจะไม่กระตุ้นให้เกิดการคิด เพราะสมองสามารถใช้วงจรเดิมๆ ในการแก้ปัญหา แต่ถ้ายากขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง สมองจะพยายามเชื่อมโยงข้อมูลที่มีอยู่เข้ากับข้อมูลใหม่ และเติมเต็มส่วนที่ขาดหายด้วยจินตนาการ และสิ่งที่ดึงขึ้นมาจากจิตใต้สำนึก
3.    ปรารถนาสิ่งที่ดีขึ้น รางวัลที่สมองต้องการคือ การแก้ปัญหาได้สำเร็จ ความสำเร็จในแต่ละขั้นจะเป็นสิ่งเร้าที่กระตุ้นให้สมองยิ่งต้องการประสบความสำเร็จในขั้นต่อไป
4.    เชื่อว่าแทบทุกปัญหามีคำตอบ สมองถูกขับเคลื่อนด้วยวัตถุประสงค์และอารมณ์ด้านบวก
5.    ชะลอคำตัดสินและคำวิจารณ์ สมองตีความคำตัดสินและคำวิจารณ์เป็นการคุกคาม ทำให้ความคิดสะดุด อารมณ์ด้านลบผลักดันสมองไปสู่การ หนีมากกว่า สู้
6.    เห็นสิ่งดีในสิ่งไม่ดี สมองที่ไม่ถูกสกัดกั้นหรือคุกคามจะสามารถมองเห็นจุดบกพร่องของผลงานหรือข้อมูลที่ขาดหายไปและปรับแต่งให้กลายเป็นสิ่งที่ดีกว่าเดิมได้
7.    เชื่อว่าปัญหาคือที่มาของปัญญา เมื่อสมองสามารถเอาชนะปัญหาได้ สมองจะจดจำ pathwayการแก้ปัญหานั้นไว้ในความทรงจำ และเมื่อเจอปัญหาที่คล้ายคลึงกัน สมองจะสามารถดึงข้อมูลเดิมมาใช้ในการแก้ปัญหาได้รวดเร็วกว่าครั้งแรก ทุกครั้งที่แก้ปัญหาได้ สมองจึงฉลาดขึ้น
8.    เชื่อว่าปัญหาที่เราเผชิญอาจเป็นคำตอบของปัญหาอื่นๆ ข้อมูลที่ได้จากการแก้ปัญหาแต่ละครั้งจะถูกเก็บไว้ในความทรงจำ เมื่อพบเจอปัญหาที่คล้ายคลึงกันหรือซ้อนทับกันบางส่วน สมองจะพยายามเรียกข้อมูลมาจากหลายๆ วงจร และเชื่อมเป็นวงจรใหม่ ดังนั้น สมองที่ผ่านการแก้ปัญหาหลายรูปแบบ จะมีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหามากกว่าสมองที่อยู่กับการแก้ปัญหาแบบเดิมซ้ำๆ
9.    พร้อมยอมรับและเผชิญปัญหา สมองที่ประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาจะชอบแก้ปัญหาที่ท้าทายยิ่งขึ้น บางสมองถึงกับวิ่งเข้าหาปัญหาอยู่ตลอดเวลา

วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ภาวะสมองเสื่อม(2)

สมองเสื่อม

  “ภาวะสมองเสื่อมเกิดจากความเสื่อมถอยของเซลล์สมองที่เกี่ยวกับความรอบรู้พฤติกรรม บุคลิกภาพ ซึ่งไม่ได้เป็นมาแต่กำเนิด แต่เมื่อเป็นแล้วอาจมีความรุนแรงจนกระทบกระเทือนการใช้ชีวิตประจำวันได้ ภาวะสมองเสื่อมพบได้ร้อยละ 5ในคนอายุ 65 ปีขึ้นไป และพบได้ร้อยละ 20 ในกลุ่มคนอายุ 80 ปีขึ้นไป
ซึ่งโรคอัลไซเมอร์เป็นโรคที่พบมากที่สุดถึงร้อยละ 50-70 จากกลุ่มโรคที่มีภาวะสมองเสื่อมทั้งหมด รองลงมาคือ สมองเสื่อมจากโรคพาร์กินสัน

            อย่างไรก็ตาม ภาวะสมองเสื่อมยังเกิดจากโรคและสาเหตุอื่นๆ อีกมากมาย เช่น
เกิดจากหลอดเลือดสมองตีบ เกิดจากการพัฒนาของโปรตีนที่ผิดปกติภายในเซลล์สมอง ความผิดปกติที่เกิดขึ้นที่สมองด้านหน้าและด้านข้าง (Fronto-
temporal) พันธุกรรม เนื้องอกในสมอง การติดเชื้อในสมอง การทำงานของต่อมไร้ท่อบางชนิดผิดปกติไป จากการใช้ยาบางชนิดที่มีผลต่อสมองเป็นเวลานาน
จากอุบัติเหตุ หรืออาจเกิดจากหลายสาเหตุรวมกัน เป็นต้น
            ยังมีสาเหตุที่น่าสนใจที่อาจนำมาซึ่งภาวะสมองเสื่อมได้อีกนั่นก็คือการขาดสารอาหารบางชนิด   เช่น วิตามินบี 1 บี 12 กรดโฟลิก พบได้มากในคนที่ ติดสุราเรื้อรัง คนที่กินอาหารมังสวิรัติติดต่อกันนานกว่า 10 ปี คนที่ได้รับการผ่าตัดกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กออกไป      
            ย้อนกลับมาที่โรคอัลไซเมอร์ซึ่งเป็นภาวะสมองเสื่อมที่พบมากที่สุดและเราทุกคนก็มีโอกาสเป็นอัลไซเมอร์ได้ร้อยละ 10–15 ด้วยเช่นกัน โรคอัลไซเมอร์ ส่วนใหญ่จะพบมากในคนอายุ 60 ปีขึ้นไป ยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งมีโอกาสเป็นมากขึ้นทั้งผู้หญิงและผู้ชายมีโอกาสเป็นได้เท่าๆ กัน
            เนื่องจากคนมีอายุยืนยาวขึ้น เมื่อเป็นโรคนี้เซลล์สมองจะถูกทำลาย โดยไม่มีการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นทดแทน ส่งผลให้มีความบกพร่องทางสมอง ในส่วน ของสติปัญญา เช่น ความคิด ความจำ การใช้ภาษา การตัดสินใจ การประสานงานของกล้ามเนื้อเสียไป ฯลฯ เป็นการเสื่อมสลายของเซลล์สมองอย่างช้าๆ แต่ต่อเนื่อง ส่วนใหญ่จะมีชีวิตอยู่ได้นานประมาณ 3-20 ปี โดยเฉลี่ยที่ประมาณ 8 ปี ขึ้นกับระยะเมื่อได้รับการวินิจฉัยและภาวะสุขภาพทางกายโดยรวม ของแต่ละคน

            อย่างไรก็ตาม ภาวะสมองเสื่อมส่วนใหญ่ยังรักษาไม่ได้ แต่อาจชะลอการเสื่อม ได้ด้วยวิธีการรักษาทางการแพทย์และการดูแลตัวเอง ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุด ในการดูแลรักษาสมองของเราให้มีสุขภาพดีห่างไกลจากความเสื่อมให้ได้นาน ที่สุดก็คือการป้องกันไว้อย่างเต็มที่เท่าที่จะทำได้ โดยขอแนะนำดังนี้
            + งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด เพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะส่งผลต่อสมองโดยตรง
            + ระวังเรื่องการใช้ยา ไม่ควรใช้ยาเอง แต่ควรให้แพทย์เป็นผู้สั่ง และเมื่อป่วยควร นำยาที่รับประทานเป็นประจำไปให้แพทย์ดูด้วยเพื่อหลีกเลี่ยงการสั่งยาซ้ำซ้อน
            + ระมัดระวังสารพิษและการเกิดอุบัติเหตุ ที่กระทบกระเทือนศีรษะ
            + ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี หากพบโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูงหรือความดัน โลหิตสูง ต้องรักษาและปฏิบัติตัวตามแพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด
            + ออกกำลังกายเป็นประจำ
            + ผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีการต่างๆ
            + กินอาหารที่มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสมอง และมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี ซิลีเนียม กรดไขมันดีเอชเอในกลุ่มโอเมก้า-3 ธาตุเหล็ก แป๊ะก๊วยและใบบัวบก ซึ่งมีผลการวิจัยพบสารสำคัญที่มีประโยชน์ ต่อสมอง เป็นต้น
            + ทำกิจกรรมต่างๆ ที่ใช้ความคิดสม่ำเสมอ เพื่อบริหารสมองและความจำ เช่น เล่นหมากรุก ซุโดกุ อ่านหนังสือ รวมถึง Brain Gym เป็นกิจกรรมการเคลื่อนไหว ร่างกายท่าต่างๆ ที่จะช่วยให้สมองสองซีกทำงานประสานกันได้ดีขึ้น เพิ่ม ประสิทธิภาพการเรียนรู้ สมองตื่นตัว ช่วยเรื่องการมองเห็น การได้ยิน การเคลื่อนไหว อีกทั้งยังช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด และทำให้จิตใจสงบ

            “สมองของเราเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น ตรวจสอบได้ยาก กว่าจะรู้ว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีอาการและสัญญาณต่างๆ แสดงให้เห็นแล้ว การหมั่นดูแล และป้องกันด้วยวิธีที่แนะนำต่างๆ เหล่านี้ล้วนมีประโยชน์และไม่ควรมองข้าม เพื่อรักษาสมองปราดเปรื่องให้อยู่กับเราจนแก่เฒ่า

วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วิธีฝึกสมองให้ฉลาดขึ้น

วิธีฝึกสมองให้ฉลาดขึ้น

1.แต่ละวันควรดื่มน้ำบ่อย ๆ เพราะสมองประกอบด้วยน้ำ 85 % ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง
2. แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วยปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น
3. นั่งสมาธิอย่างน้อยวันละ 12 นาที เป็นการฝึกสติและพักสมองทำการใช้ชชีวิตมีประสิทธิภาพมากขึ้น
4. ควรตั้งใจทำในสิ่งใดก็ตาม เหมือนเป็นการสั่งสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน
5. หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ เพราะจะมีสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้น ให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อย ๆ
6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และ สร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์
7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน ไม่โกรธคนอื่น ไม่โกรธตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง
8. เขียนบันทึกในสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์
9. ฝึกหายใจลึกๆ เพราะสมองใช้ออกซิเจน 20 .25% ของออกซิเจน ที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 %
10. ลองทำอะไรที่แตกต่างไปจากเดิมบ้าง เช่น ลองเปลี่ยนเส้นทางใหม่ระหว่างการไปทำงาน การหยิบสิ่งของในที่มืด การปิดไฟเข้าห้องน้ำ การแต่งตัวในที่มืด การรับประทานอาหารโดยใช้มือที่ไม่ถนัด หรือการเลือกฟังเพลงที่ไม่เคยได้ยินเนื้อร้องมาก่อน แล้วหัดร้องตามไปจนร้องได้ เพราะจะช่วยฝึกให้สมองได้คิดและมีการพัฒนามากขึ้น
11. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ


12. เดินทางท่องเที่ยวไปในสถานที่ไม่เคยไป จะช่วยให้สมองได้รับมือกับสิ่งเร้าที่น่าตื่นตาตื่นใจมากขึ้น ถือเป็นการพัฒนาสมองในอีกทางหนึ่ง
13. กินอาหารที่มีประโยชน์และบำรุงสมอง และต้องทานอาหารให้ครบทุกมื้อโดยเฉพาะมื้อเช้า

การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม ลองทำตามวิธีฝึกสมองให้ฉลาดขึ้นดูนะคะ

วันพุธที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สารบำรุงสมอง


      คงมีหลายคนที่มีความรู้สึกว่า ยิ่งอายุมากขึ้น ทำไมสมองของตัวเองถึงได้ขี้หลงขี้ลืมนัก     จึงขอแนะนำวิธีบำรุงสมอง ดังนี้ 

สารอาหารที่บำรุงสมองเหมาะสมกับใครบ้าง
·       วัยทำงาน ผู้บริหาร อายุ 35 ปีขึ้นไป
·       ผู้สูงอายุ
·       ผู้ที่มีประวัติเป็นโรคเรื้อรัง เช่น โรคระบบหลอดเลือด สมอง และไขมัน เป็นต้น

เทคนิคการดูแลสมองง่ายๆ สำหรับผู้สูงอายุ
1. รักษาความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ หากความดันโลหิตต่ำมากเกินไป อาจมีผลให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอได้
2.  ควบคุมน้ำหนักตัว ลดอาหารที่มีไขมันสูง กินอาหารที่มีกากใย เนื่องจากไขมันอาจมีผลให้เกิดหลอดเลือดอุดตันได้
3.   ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และสามารถควบคุมน้ำหนักตัวได้
4.งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่ เหล่านี้มีผลให้เซลล์ต่างๆของร่างกายเสื่อมได้ง่าย
5.  ผ่อนคลายความเครียด สงบจิตใจ ทำอารมณ์ให้แจ่มใส เช่นการฝึกสมาธิ ศึกษาธรรม เลือกทำในสิ่งที่ตนเองชอบ
6.  ฝึกความจำ เช่น ฝึกจำหมายเลขโทรศัพท์


เทคนิคการดูแลสมอง สำหรับวัยทำงาน
1.     หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ
2.     ฝึกหายใจให้ถูกวิธีโดยหายใจเข้า- ออก ช้าๆ ลึกๆ จะช่วยพัฒนาสมองได้  ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสาย
3.     รับประทานอาหารเช้าเป็นประจำ เพื่อร่างกายจะได้มีพลังงานในการทำงาน เลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง รับประทานผัก ผลไม้เป็นประจำ
4.    ดื่มน้ำสะอาดให้มาก เนื่องจากสมองประกบด้วยน้ำ 85% และงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่
5.     พักผ่อนจากการทำงาน เพราะจะช่วยผ่อนคลายความเครียดได้ เช่นการท่องเที่ยว การฟังเพลง การนั่งสมาธิ การเข้านอนเร็ว
6.     คิดในเรื่องที่ดีๆและ หมั่นเรียนรู้สิ่งใหม่ๆตลอดเวลา เพื่อการพัฒนาสมองที่ดี เช่น หัดเขียนหนังสือด้วยมือที่ไม่ถนัด คิดคำนวณแทนเครื่องคิดเลข เล่นเกมส์ลับสมอง ปริศนาอักษรไขว้


วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ภาวะสมองเสื่อม

      สมองนับเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญอย่างยิ่งของการดำเนินชีวิต ทั้งเรื่องของสติปัญญา ความคิด ความจำ การเรียนรู้ ความสามารถในการทำงานและการตัดสินใจ โดยสมองจะมีการเติบโตและพัฒนาต่อเนื่องเรื่อยๆ จนถึงอายุ 25 ปี และจะเริ่มเสื่อมลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น
             ในปัจจุบันนี้ภาวะสมองเสื่อมเป็นปัญหาที่พบได้มากขึ้น เนื่องจากประชากรมีอายุยืนยาวขึ้น โดยอุบัติการณ์ของภาวะสมองเสื่อมเพิ่มสูงขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้นด้วย มีการคาดการณ์ว่าในอีก 20ปีข้างหน้า ภาวะสมองเสื่อมจะเกิดกับคนไทยมากขึ้นเป็นล้านคน จะส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย นอกจากนี้ผู้ป่วยสมองเสื่อม 1 คนต้องใช้ผู้ดูแลอย่างน้อยถึง 2 คนจึงนำไปสู่ปัญหาค่าใช้จ่ายตามมา ดังนั้นจึงมีผลกระทบโดยตรงต่อผู้ดูแลและครอบครัวของผู้ป่วย ทั้งทางกาย ใจ สังคมและเศรษฐกิจด้วย ฉะนั้นการดูแลสมองของเราแต่เนิ่นๆ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญเพราะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในบั้นปลาย ไม่เป็นภาระของผู้อื่น

                        สมองเสื่อม (Dementia)  เป็นภาวะที่มีการทำงานของสมองเสื่อมลง ทำให้สูญเสียความจำ การเรียนรู้ การใช้ภาษา กระบวนการแก้ไขปัญหาต่างๆบกพร่อง จนมีผลกระทบต่อกิจวัตรประจำวัน

สาเหตุหลักๆของการเกิดภาวะสมองเสื่อม มี 2 สาเหตุ
1.  โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s Disease) เกิดจากอนุมลอิสระทำลายเซลล์สมอง ซึ่งส่งผลให้เกิดการสะสมของโปรตีนจับกันเป็นก้อนในเนื้อสมอง ที่เรียกว่า Plaques ทำให้เซลล์สมองไม่สามารถรับส่งกระแสประสาทได้ ดีดังเดิม จึงเกิดปัญหาเรื่องการเรียนรู้ การจำ การแก้ไขปัญหาต่างๆสูญเสียไป เซลล์สมองเสื่อมในที่สุด
2.            ความผิดปกติของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองไม่พอ (Vascular Dementia) เช่นโรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดตีบ ส่งผลให้ไม่สามารถนำอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้เพียงพอ ทำให้เซลล์สมองขาดเลือดไปเลี้ยงสมอง ส่งผลให้เซลล์สมองเสื่อมลงและตายในที่สุด อันเป็นสาเหตุของการเกิดภาวะสมองเสื่อม

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองเสื่อม
·         อายุที่เพิ่มขึ้น พบว่ามีอัตราเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมเพิ่มขึ้น 20%
·         เป็นโรคหลอดเลือดสมอง เช่น เคยเป็นอัมพฤกษ์หรืออัมพาตมาก่อน 
·         มีภาวะไขมันในเลือดสูง  ซึ่งนำสู่ไปการเกิดโรคอัลไซเมอร์อีกด้วย
·         เป็นโรคความดันโลหิตสูง
·         เป็นโรคเบาหวาน  
·         ผู้ที่มีอาการของโรคซึมเศร้า  
·         การสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นประจำ
·         น้ำหนักตัวเกิน โดยมีค่าดัชนีมวลกาย  มากกว่า 25  
·         มีญาติผู้ใกล้ชิดเป็นภาวะสมองเสื่อม ซึ่งพบว่ามีอัตราเสี่ยง 10%

สารอาหารที่บำรุงสมอง

สารสกัดจากใบแปะก๊วย ช่วยป้องกันและรักษาภาวะสมองเสื่อม สารสกัดจากใบแปะก๊วย จัดเป็นพืชสมุนไพรที่มีการใช้กันมานาน มีผลการศึกษาวิจัยมากมายที่กล่าวถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยของสารสกัดจากใบแปะก๊วยโดยเฉพาะเรื่องป้องกันและรักษาภาวะสมองเสื่อม
สารสกัดจากใบแปะก๊วย มีสารสำคัญ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มฟลาโวนไกลโคไซด์ (Flavone Glycoside) และกลุ่มเทอร์ปีน แลคโตน (Terpene Lactone) ซึ่งคุณสมบัติของสารทั้ง 2 กลุ่ม ล้วนมีประโยนช์ด้านสมองเป็นอย่างยิ่ง
·       กลุ่มฟลาโวนไกลโคไซค์ (Flavone Glycoside) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant)  ช่วยปกป้องเซลล์สมองจากอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อมได้

·         กลุ่มเทอร์ปีนแลคโตน (Terpene Lactone) ประกอบด้วย จิงโกไลด์ (Ginkgolide) และ บิโลบาไลด์ (Bilobalide) ซึ่งมีคุณสมบัติ ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของหลอดเลือด  ส่งผลให้นำพาออกซิเจนและอาหารไปเลี้ยงสมองและส่วนต่างๆของร่างกายได้ดีขึ้น  ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น  และยังสามารถต่อต้านการจับตัวของเกล็ดเลือด จึงช่วยป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด ซึ่งเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการเกิดภาวะสมองเสื่อม